ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัย
บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัย
ความหมายของการวิจัย
การวิจัย (Research) อาจหมายถึง "การหาแล้วหาอีก" หรือหมายถึง การสอบสวน หรือตรวจตราความรู้ในแขนงใดแขนงหนึ่ง อย่างขยันขันแข็ง หรือหมายถึง การค้นหาความจริงอย่างต่อเนื่องและมีอุตสาหะ
การวิจัย (Research) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2493 หมายถึง การสะสม การรวบรวมการค้น การตรวจตรา การสอบสวน
พจน์ สะเพียรชัย กล่าวว่า "การวิจัย" คือ วิธีแก้ปัญหาที่มีระบบแบบแผนเชื่อถือ ได้เพื่อให้เกิดความรู้ที่เชื่อถือได้
อนันต์ ศรีโสภา กล่าวว่า "การวิจัย" เป็นกระบวนการเสาะแสวงหาความรู้จากปัญหาที่ชัดเจนอย่างมีระบบ โดยมีการทดสอบสมมติฐานที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ซึ่งสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในเรื่องนั้นๆ เพื่อนำไปพยากรณ์หรือสังเกตการเปลี่ยนแปลง เพื่อควบคุมสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้คงที่
เบสท์ (Best) ให้ความหมายไว้ว่า "การวิจัย" เป็นแบบแผนหรือกระบวนการวิเคราะห์อย่างเป็นปรนัย มีโครงสร้างที่เป็นระเบียบ มีการจดบันทึกรายงาน และสรุปผลเป็นเกณฑ์หรือทฤษฎีขึ้น เพื่อนำไปอธิบาย ทำนาย หรือควบคุมปรากฏการณ์ต่างๆ
เคอร์ลิงเจอร์ (Kerlinger) ให้ความหมายว่า "การวิจัย" เป็นการใช้ข้อมูลในการตรวจสอบสมมติฐานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ธรรมชาติโดยมีการควบคุมอย่างเป็นระบบสม่ำเสมอ
ลักษณะที่สำคัญของการวิจัย
เบสท์ (Best, 1981 อ้างถึงใน บุญเรียง ขจรศิลป์, 2533 : 5) ได้สรุปลักษณะที่สำคัญของการวิจัยไว้ดังนี้
1. เป้าหมายของการวิจัยมุ่งที่จะหาคำตอบต่างๆ เพื่อจะนำมาใช้แก้ปัญหาที่มีอยู่โดยพยายามที่จะศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ในลักษณะของความเป็นเหตุเป็นผลซึ้งกันและกัน
2. การวิจัยเน้นถึงการพัฒนาข้อสรุป หลักเกณฑ์หรือทฤษฎีต่างๆ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ในการทำนายเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป้ าหมายของการวิจัยนั้นมิได้หยุดอยู่เฉพาะกลุ่มตัวอย่างที่นำมาศึกษาเท่านั่นแต่ข้อสรุปที่ได้มุ่งที่จะอ้างอิงไปสู่กลุ่มประชากรเป้าหมาย
3. การวิจัยจะอาศัยข้อมูล หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่สามารถสังเกต รวบรวมได้ คำถามที่น่าสนใจบางคำถามไม่สามารถทำการวิจัยได้เพราะไม่สามารถรวบรวมข้อมูลมาศึกษาได้
4. การวิจัยต้องอาศัยเครื่องมือและการรวบรวมข้อมูลที่แม่นยำเที่ยงตรง
5. การวิจัยจะเกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลใหม่ๆ จากแหล่งปฐมภูมิหรือใช้ข้อมูลที่มีอยู่เดิมเพื่อหาคำตอบของวัตถุประสงค์ใหม่
6. กิจกรรมที่ใช้ในการวิจัย เป็นกิจกรรมที่กำหนดไว้อย่างมีระบบแบบแผน
7. การวิจัยต้องการผู้รู้จริงในเนื้อหาที่จะทำการวิจัย
8. การวิจัยเป็นกระบวนการที่มีเหตุผล และมีความเป็นปรนัย สามารถที่จะทำการตรวจสอบความตรงของวิธีการที่ใช้ข้อมูลที่รวบรวมมา และข้อสรุปที่ได้
9. สามารถที่จะทำซ้ำได้โดยใช้วิธีเดียวกัน หรือวิธีการที่คล้ายคลึงกันถ้ามีการเปลี่ยนแปลงกลุ่มประชากรสถานการณ์หรือ ระยะเวลา
10. การทำวิจัยต้องมีความอดทน นักวิจัยควรจะเตรียมใจไว้ด้วยว่าอาจจะต้องมีความลำบากในบางเรื่อง ในบางกรณีที่จะแสวงหาคำตอบของคำถามที่ยากๆ
11. การเขียนรายงานการวิจัยควรทำอย่างละเอียดรอบคอบ ศัพท์เทคนิคที่ใช้ควรบัญญัติความหมายไว้อธิบายวิธีการวิจัยอย่างละเอียด รายงานผลการวิจัยอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ใช้ความคิดเห็นส่วนตัว ไม่บิดเบือนผลการวิจัย
12. การวิจัยต้องการความซื่อสัตย์และกล้าหาญในการรายงานผลการวิจัย แม้ว่าจะขัดกับความรู้สึกหรือผลการวิจัยผู้อื่น
แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัย
การวิจัยทางสังคมศาสตร์ (Social Science Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับสังคม การอยู่ร่วมกันในสังคม และ ปรากฏการณ์ทางสังคม ได้แก่การวิจัยทางมานุษยวิทยา ประชากร ประวัติศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์ เป็นต้น (พิชิต ฤทธิ์ จรูญ, 2544)
การวิจัยทางการศึกษา เป็นวิธีการหาคำตอบเกี่ยวกับข้อข้องในทางการศึกษา โดยนำเอาระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้ได้ข้อสรุปเป็นที่น่าเชื่อถือได้ (เพ็ญศรี เศรษฐวงศ์, 2544)
การวิจัยในชั้นเรียน (Classroom Research) หมายถึง กระบวนการที่ให้ได้มาซึ่งข้อความรู้ ซึงมีลักษณะทีเป็นวิธีการ รูปแบบ หรือแผนการสำหรับใช้ในการแก้ปัญหาการเรียนการสอนในชั้นเรียน ซึงผู้วิจัยก็คือครูผู้สอนในชั้นเรียน (บุญมี พันธุ์ไทย, 2542)
การวิจัยด้านสื่อสารมวลชน (Masscommunication Research) เป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ด้านสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (Social Science Research) ระเบียบวิธีวิจัยทางสื่อสารมวลชนส่วนมากจะใช้วิธีการทั้งสองกระบวนการนี้เข้าดำเนินการวิเคราะห์ค้นหาข้อเท็จจริงต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับหัวข้อที่จะทำวิจัยนั้นตามจุดมุ่งหมายของผู้วิจัย (วิษณุ สุวรรณเพิ่ม,2535)
ความสำคัญของการวิจัยกับการพัฒนาชุมชน การวิจัยมีความสำคัญกับการพัฒนาชุมชน เพราะนอกจากจะสามารถช่วยในการส่งเสริมด้านวิทยาการทางการพัฒนาชุมชน โดยเฉพาะต่อตัวผู้วิจัยเองแล้ว ผลจากการวิจัยจะทำให้คนมีการพัฒนาความคิดอย่างเป็นระบบ มีความเป็นเหตุเป็นผล มีการทำงานที่เป็นระบบมากขึ้น ทั้งยังมีผลต่อผู้สนใจเกี่ยวข้อง ที่ยังสามารถนำความรู้ที่ได้จากการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติโดยตรง
วิธีการแสวงหาความรู้
การเสาะแสวงหาความรู้ของมนุษย์มิใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยสติปัญญาและการฝึกฝนต่างๆ ซึ่งมีวิธีการเสาะแสวงหาความรู้ของมนุษย์จำแนกได้ ดังนี้
1. วิธีโบราณ (Older methods) ในสมัยโบราณมนุษย์ได้ความรู้มา
โดยการสอบถามผู้รู้หรือผู้มีอำนาจ( Authority) เป็นการได้ความรู้จาก
การสอบถามผู้รู้ หรือผู้มีอำนาจความบังเอิญ (Chance) เป็นการได้ความรู้มาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งไม่ได้เจตนาที่จะศึกษาเรื่องนั้นโดยตรง
ขนบธรรมเนียมประเพณี (Tradition) เป็นการได้ความรู้มาจากสิ่งที่คนในสังคมประพฤติปฏิบัติสืบทอดกันมา
ผู้เชี่ยวชาญ (Expert) เป็นการได้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง
ประสบการณ์ส่วนตัว (Personal experience) เป็นการได้ความรู้จากประสบการณ์ที่ตนเคยผ่านมาการลองผิดลองถูก (Trial and error) เป็นการได้ความรู้มาโดยการลองแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรือ
ปัญหาที่ไม่เคยทราบมาก่อน เมื่อแก้ปัญหาได้ถูกต้องก็จะกลายเป็นความรู้ใหม่ที่จดจำไว้ใช้ต่อ ไป
2. วิธีอนุมาน (Deductive methods) คิดโดยอริสโตเติล เป็นวิธีการคิดเชิงเหตุผล ซึ่งเป็นกระบวนการคิดค้นจากเรื่องทั่วๆ ไป สู่เรื่องเฉพาะเจาะจงหรือคิดจากส่วนใหญ่ไปส่วนย่อย จากสิ่งที่รู้ไปสู่สิ่งที่ไม่รู้ ซึ่งประกอบไปด้วย
ข้อเท็จจริงใหญ่ เป็นเหตุการณ์ที่เป็นจริงอยู่ในตัวมันเองหรือเป็นข้อตกลงที่กำหนดเป็นเกณฑ์
ข้อเท็จจริงย่อย ซึ่งมีความสัมพันธ์กับข้อเท็จจริงใหญ่หรือเป็นเหตุผลเฉพาะกรณีที่ต้องการทราบความจริง
ผลสรุป เป็นข้อสรุปที่ได้จากการพิจารณาความสัมพันธ์ของเหตุใหญ่และเหตุย่อย
ตัวอย่างเช่น
ข้อเท็จจริงใหญ่ : ถ้าโรงเรียนถูกไฟไหม้ ครูจะเป็นอันตราย
ข้อเท็จจริงย่อย : โรงเรียนถูกไฟไหม้
ผลสรุป : ครูเป็นอันตราย
ถึงแม้ว่าการแสวงหาความรู้โดยวิธีการอนุมาน จะเป็นวิธีที่เป็นประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัด ดังนี้
1. ผลสรุป จะถูกต้องหรือไม่ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงใหญ่กับข้อเท็จจริงย่อยหรือทั้งคู่ ถ้าไม่ถูกต้องก็จะทำให้ข้อสรุปพลาดไปด้วย เช่น จากตัวอย่าง การที่โรงเรียนถูกไฟไหม้ครูอาจไม่เป็นอันตรายก็ได้( ถ้าครูไม่อยู่ในโรงเรียน)
2. ผลสรุปที่ได้เป็นวิธีการสรุปจากสิ่งที่รู้ไปสู่สิ่งที่ไม่รู้ แต่วิธีการนี้ไม่ได้เป็นการยืนยันเสมอไปว่า ผลสรุปที่ได้จะเชื่อถือได้เสมอไป เนื่องจากถ้าสิ่งที่รู้แต่แรกเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนก็จะส่งผลให้ข้อสรุปนั้นคลาดเคลื่อนไปด้วย
3. วิธีการอุปมาน (Inductive methods) เกิดขึ้นโดยฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) เนื่องจากข้อจำกัดของวิธีการอุปมานในแง่ที่ว่า ข้อสรปุ นั้นจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อ ข้อเท็จจริงจะต้องถูกเสียก่อน จึงได้เสนอแนะวิธีการเสาะแสวงหาความรู้โดยรวบรวมข้อเท็จจริงย่อยๆ เสียก่อน แล้วจึงสรุปรวมไปหาส่วนใหญ่ หลักในการอุปมานมี 2 แบบ คือ
การอุปมานแบบสมบูรณ์ (Perfect inductive methods) เป็นวิธีการเสาะแสวงหาความรู้โดยรวบรวมข้อเท็จจริงย่อยๆจากทุกหน่วยของกลุ่มประชากร แล้วจึงสรุปรวมไปสู่ส่วนใหญ่ วิธีนี้ทำได้ยากเพราะบางอย่างไม่สามารถนำมาศึกษาได้ครบทุกหน่วย นอกจากนี้ยังสิ้นเปลืองเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายมาก
การอุปมานแบบไม่สมบูรณ์ (Imperfect inductive methods) เป็นวิธีการเสาะแสวงหาความรู้ โดยรวบรวมข้อเท็จจริงย่อยๆ จากบางส่วนของกลุ่มประชากร แล้วสรุปรวมไปสู่ส่วนใหญ่ โดยที่ข้อมูลที่ศึกษานั้นถือว่าเป็นตัวแทนของสิ่งที่จะศึกษาทั้งหมด ผลสรุป หรือความรู้ที่ได้รับสามารถอ้างอิงไปสู่กลุ่มที่ศึกษาทั้งหมดได้วิธีการนี้เป็นที่นิยมมากว่าวิธีอุปมานแบบสมบูรณ์ เนื่องจากสะดวกในการปฏิบัติและประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่าย
4. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific methods) เป็นการเสาะแสวงหาความรู้โดยใช้หลักการของ วิธีการอนุมานและวิธีการอุปมาน มาผสมผสานกัน Charles Darwin เป็นผู้ริเริ่มนำวิธีการนี้มาใช้ ซึ่งเมื่อต้องการค้นหาความรู้ หรือแก้ปัญหาในเรื่องใด ก็ต้องรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเสียก่อนแล้วนำข้อมูลมาใช้ในการสร้างสมมติฐาน ซึ่งเป็นการคาดคะเนคำตอบล่วงหน้า ต่อจากนั้นเป็นการตรวจสอบปรับปรุงสมมติฐาน การเก็บรวบรวมข้อมูล และการทดสอบสมมติฐานและJohn Dewey ปรับปรุงให้ดีขึ้น แล้วให้ชื่อวิธีนี้ว่า"การคิดแบบใคร่ครวญรอบคอบ" (Reflective thinking) ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ "วิธีการทางวิทยาศาสตร์"
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นวิธีการเสาะแสวงหาความรู้ที่ดีในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ไม่เพียงแต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เท่านั้นแต่ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาทางการศึกษาด้วย
ประเภทของการวิจัย
ประเภทของการวิจัย สามารถจำแนกได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งหรือมุมมองของแต่ละคน ได้แก่ แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย แบ่งตามลักษณะของข้อมูลหรือแนวคิดพื้นฐานของการวิจัย แบ่งตามขอบเขตของศาสตร์ต่างๆแบ่งตามเวลาที่ใช้ในการวิจัย และแบ่งตามวิธีดำเนินการวิจัยหรือระเบียบวิธีวิจัย (ภีมศักดิ์ เอ้งฉ้ว,น 2543)
1. แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.1 การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์ (Basic of pure research) เป็นการวิจัยเพื่อตอบสนองความอยากรู้ของมนุษย์หรือเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการของมนุษย์ เช่น การวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีพื้นฐานในวิชาฟิสิกส์ เคมี หรือชีววิทยา
1.2 การวิจัยประยุกต์ (Applied research) เป็นการวิจัยที่มุ่งนำผลจากการวิจัยหรือข้อค้นพบจากการวิจัยพื้นฐานไปทดลองใช้แก้ปัญหาต่างๆ ถ้าได้ผลก็เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์เพื่อทำให้ชีวิตของมนุษย์มีความสุข และสะดวกสบายยิ่งขึ้น เช่น การวิจัยสาเหตุที่นักเรียนอาชีวะตีกันการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาผู้มาใช้บริการห้องสมุดน้อย เป็นต้น
1.3 การวิจัยเชิงปฏิบัติ (Action research or Operational research) เป็นการวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำผลการวิจัยที่ได้ไปใช้แก้ปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้าในขอบเขตของปัญหานั้นเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆ ได้ เช่น การวิจัยเกี่ยวกับวัตถุระเบิดในโรงงานอบลำไยหรือการวิจัยสาเหตุที่นักเรียนอาชีวะตีกัน เป็นต้น
2. แบ่งตามลักษณะของข้อมูล
2.1 การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) เป็นการวิจัยที่ต้องการค้นคว้าหาความรู้จากเหตุการณ์ในสังคมและสภาพแวดล้อมทุกแง่ทุกมุมตามความเป็นจริง การวิจัยแบบนี้มักใช้วิธีการศึกษาระยะยาว และเน้นการเก็บข้อมูลเชิงนามธรรมเกี่ยวกับมนุษย์ เช่น ความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ไม่มุ่งเน้นการเก็บข้อมูลที่เป็นตัวเลข ส่วนใหญ่เป็นการวิจัยทางมานุษยวิทยา หรือการวิจัยประเภทเจาะลึก เช่น การศึกษาบทบาทของสตรีในชนบท
2.2 การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เป็นการวิจัยที่เน้นข้อมูลที่เป็นตัวเลข ให้ความสำคัญในการจัดกระทำข้อมูล เพื่อนำมาวิเคราะห์ตัวเลขทางสถิติ และยืนยันความถูกต้องของข้อค้นพบหรือสรุปต่างๆ ของการศึกษา เช่น จำนวนหนังสือที่ผู้ใช้บริการห้องสมุดยืมและคืนในแต่ละวัน การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิจัยของนักศึกษาโปรแกรมวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์เป็นต้น
3. แบ่งตามขอบเขตของศาสตร์ต่างๆ แบ่งได้ 2 ศาสตร์ คือ
3.1 การวิจัยทางสังคมศาสตร์ เป็นการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม และครอบคลุมเนื้อหาวิชาหลายประเภท เช่น ปรัชญา ศาสนา การศึกษา ประวัติศาสตร์บรรณารักษศาสตร์ โบราณคดี ศิลปะ จิตวิทยา ภาษา วรรณกรรม นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา สังคมสงเคราะห์ประชากรศาสตร์ เป็นต้น มุ่งเน้นที่จะอธิบายปรากฏการณ์ในทางพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต อารมณ์ ทัศนคติ ความรู้สึกสภาพแวดล้อม สังคมวัฒนธรรม
3.2 การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เป็นการวิจัยเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ครอบคลุมเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์กายภาพ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช เป็นต้นการวิจัยจะเน้นการสำรวจ วิเคราะห์และทดลองอย่างมีระบบ ซึ่งสามารถวัด สังเกต และควบคุมได้การวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์จึงเน้นลักษณะเชิงปริมาณ มีกฎแน่นอนตายตัว คงที่
4. แบ่งตามเวลาที่ใช้ในการวิจัย แบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้
4.1 การวิจัยแบบตัดขวาง (Cross-sectional research) หมายถึง การวิจัยที่ผู้วิจัยใช้เวลาสั้นๆ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น การเก็บข้อมูลเพียงครั้งเดียว หรือหลายครั้งแต่ระยะเวลาในการเก็บข้อมูลไม่ห่างกันมากนัก ข้อมูลที่รวบรวมได้จะแสดงลักษณะหรือสภาพของสิ่งที่วิจัย ณ เวลาที่รวบรวมข้อมูลเท่านั้น
4.2 การวิจัยระยะยาว (Longitudinal research) หมายถึง งานวิจัยที่ผู้วิจัยติดตามศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นระยะเวลายาวนานหลายๆ ปี จนกระทั่งได้ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อมูลที่รวบรวมได้จะแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ได้ข้อเปรียบเทียบในแนวลึก
5. แบ่งตามวิธีดำเนินการวิจัยหรือระเบียบวิธีวิจัย แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
5.1 การวิจัยเชิงวิเคราะห์ (Analytical research) หมายถึง การวิจัยที่ผู้วิจัยใช้วิธีการวิเคราะห์หลักฐานที่รวบรวมได้เพื่อแสวงหาคำตอบสำหรับปัญหาวิจัย ได้แก่การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ การวิจัยเชิงปรัชญา
5.2 การวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive research) หมายถึง การวิจัยที่ผู้วิจัยมุ่งหาคำตอบเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันโดยสภาพดังกล่าวต้องเป็นสภาพที่เป็นอยู่ตรมธรรมชาติ ได้แก่ การวิจัยเชิงสำรวจ การวิจัยเชิงสหสัมพันธ์
5.3 การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental research) ลักษณะสำคัญที่ทำให้การวิจัยเชิงทดลองแตกต่างจากการวิจัยเชิงพรรณนาก็คือ การวิจัยเชิงพรรณนาเป็นการศึกษาปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ แต่การวิจัยเชิงทดลองมีการจัดกระทำให้แตกต่างไปจากสภาพธรรมชาติ ได้แก่การวิจัยกึ่งการทดลอง และการวิจัยเชิงทดลอง
บทที่ 2 ขั้นตอนและกระบวนการวิจัย
การเตรียมการวิจัย
ขั้นตอนการเตรียมการวิจัย เป็นขั้นตอนที่ต้องทำก่อนที่งานวิจัยจะเริ่มต้นจริงๆ การเตรียมงานสำหรับงานวิจัยจะประกอบไปด้วยการพิจารณาเลือกกำหนดปัญหาที่จะทำการวิจัย รวมถึงการเลือกหัวเรื่อง และการตั้งชื่อเรื่อง ซึ่งผู้วิจัยจะต้องระดมความคิดของตน เตรียมลู่ทางที่จะวิจัย ว่าจะทำวิจัยในเรื่องใดหรือประเด็นใดที่เหมาะสมเป็นประโยชน์ ในด้านใดด้านหนึ่งและสามารถจะดำเนินการวิจัยได้ดังนั้นขั้นตอนนี้จึงเป็นการพิจารณาอย่างกว้างๆ ทั่วๆ ไป และเมื่อเตรียมเรื่อหรือปัญหาที่จะทำ การวิจัยได้แล้ว จึงเริ่มขั้นตอนต่อไปได้
ข้อเสนอแนะในการเตรียมการวิจัย ควรจะพิจารณาถึง
1. การเลือกปัญหาการวิจัย
ปัญหาการวิจัย หมายถึงข้อสงสัยที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นในข้อเท็จจริงหรือข้อสงสัยที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ก่อให้เกิดการค้นคว้าวิจัย เพื่อให้ได้ความรู้ความจริง โดยปกติแล้ว ปัญหาการวิจัยมักจะเกิดขึ้นในใจของบุคคลทุกคน ต่างกันที่ว่ามี มากหรือมีน้อย สำคัญหรือไม่สำคัญเท่านั้น
การทำวิจัยแต่ละเรื่อง จะต้องกำหนดประเด็นของปัญหาในการทำวิจัยให้ชัดเจนละการเขียนประเด็นของปัญหาควรมีหลักการ ดังนี้
1. เป็นประเด็นที่น่าสนใจ
2. เป็นประเด็นที่เป็นปัญหาจริงๆ อยู่ในปัจจุบัน
3. เขียนให้ตรงประเด็น ข้อมูลเชิงเหตุผลควรจะนำไปสู่จุดที่เป็นปัญหาที่จะทำการวิจัย และชี้ให้เห็นความสำคัญของสิ่งที่จะทำวิจัย
4. มีข้อมูลอ้างอิงทำให้น่าเชื่อถือ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจว่าเป็นปัญหาที่มีพื้นฐานมาจากข้อมูลเชิงประจักษ์มิใช่เกิดจาก ความรู้สึก หรือจินตนาการของผู้เขียน
5. ไม่ยืดยาวจนน่าเบื่อ
6. ใช้ภาษาง่ายๆ จัดลำดับประเด็นที่เสนอให้เป็นขั้นตอนต่อเนื่องกัน
7. เป็นประเด็นที่น่าจะเป็นประโยชน์ เมื่อทำการวิจัยเสร็จสิ้นแล้ว ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงๆ
8. อยู่ในวิสัยที่ผู้วิจัยคิดว่าน่าจะทำได้ทั้งในแง่ของเวลา ค่าใช้จ่ายยามความสามารถของผู้วิจัย
2. แหล่งที่มาของปัญหาการวิจัย
ปัญหาที่จะทำการวิจัยนั้นมีหลากหลายอาจเกิดขึ้นจากผู้ปฏิบัติงาน ปัญหาเกี่ยวกับผู้ใช้บริการ นักศึกษาตลอดจนสิ่งแวดล้อมต่างๆ หากผู้วิจัยมีความสนใจก็จะมองเห็นปัญหาได้ไม่ยากที่มาของปัญหาการวิจัยสามารถจำแนกได้ดังนี้
1. ประสบการณ์ของผู้วิจัย ผู้วิจัยอาจได้ปัญหาการวิจัยจากปัญหาที่ประสบอยู่ในการปฏิบัติงาน หรือจากการสังเกตเหตุการณ์ความเคลื่อนไหว ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในสังคม ทำให้เกิดความสงสัยและต้องการหาคำตอบ
2. รายงานการวิจัยของคนอื่นๆ ที่พิมพ์ออกอมาแล้ว ไม่ว่าจะในวารสารการวิจัยต่างๆ ที่ภาษาไทยและต่างประเทศวิทยานิพนธ์ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของนิสิตระดับบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัย หรืออยู่ในรูปของรายงานการวิจัยที่พิมพ์ออกมา
3. ทฤษฎี ผู้วิจัยอาจได้ปัญหาจากทฤษฎีต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สนใจ อาจสงสัยว่าในสถานการณ์และเวลาที่แตกต่างไป เหตุการณ์ต่างๆ จะเป็นไปตามที่ทฤษฎีกล่าวไว้หรือไม่
4. การเข้าร่วมสัมมนา ประชุมทางวิชาการในเรื่องต่างๆ อาจช่วยให้พบปัญหาที่ควรทำการวิจัยได้
5. การเสนอหัวข้อที่ควรทำการวิจัยของหน่วยงานที่ให้ทุนส่งเสริมหรือสนับสนุนการวิจัย เช่น สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติสำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย การให้ทุนอุดหนุนการ วิจัยโดยระบุลักษณะโครงการวิจัย หรือโดยการกำหนดเรื่องของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ และคณะกรรมการ สภาวิจัยแห่งชาติ อาจช่วยให้เลือกเรื่องที่จะทำวิจัยได้
6. จากการให้คอมพิวเตอร์พิมพ์รายชื่อเรื่องต่างๆ ที่มีผู้วิจัยไว้แล้วตามหมวดต่างๆ ในสาขาที่สนใจ เพื่อที่จะได้แนวความคิดในการทำวิจัย หรือให้พิมพ์ผลงานวิจัยโดยย่อในเรื่องที่สนใจเมื่อศึกษาในเรื่องเหล่านั้นอาจพบปัญหาที่จะทำวิจัย
7. จากการศึกษาค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ต โดยการพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ที่มีการรวบรวมงานวิจัยไว้ เช่น เว็บไซต์ที่ รวบรวมฐานข้อมูลการวิจัยทางการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ(www.thaiedresearch.org) หรือจาก เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น
www.cmu.ac.th มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
www.mu.ac.th มหาวิทยาลัยมหิดล
www.msu.ac.th มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
www.swu.ac.th มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
www.nu.ac.th มหาวิทยาลัยนเรศวร
www.tu.ac.th มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
www.chula.ac.th จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
www.psu.ac.th มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
www.su.ac.th มหาวิทยาลัยศิลปากร
www.ku.ac.th มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
www.kku.ac.th มหาวิทยาลัยขอนแก่น
3. เกณฑ์ในการเลือกปัญหาที่จะวิจัย
ก. ด้านผู้วิจัย
1. เป็นเรื่องที่ผู้วิจัยมีความสนใจใคร่รู้อย่างแท้จริง หรือศรัทธาอย่างแรงกล้าในการแสวงหาคำตอบ การวิจัยเป็นกิจกรรมที่ต้องอาศัยความเพียง ความอดทน ความตั้งใจทำอย่างระมัดระวังจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกปัญหาที่ตนสนใจ
2. เป็นเรื่องที่อดคล้องกับความรู้ความสามารถของผู้วิจัย
3. เป็นเรื่องที่มีทุนวิจัยเพียงพอ
ข. ด้านปัญหาที่จะทำการวิจัย
1. เป็นปัญหาที่มีความสำคัญ ผลของการวิจัยมีคุณค่าหรือเป็นประโยชน์ต่อสังคมต่อหน่วยงานในการแก้ไขปัญหาหรือเสริมสร้างความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ
2. ควรเป็นปัญหาที่มีลักษณะริเริ่ม มีนวภาพ ไม่เลียนแบบคนอื่น มี Originallity สูง ไม่ว่าจะเป็นด้านวัตถุประสงค์ในการวิจัย หรือวิธีวิจัย
ค. ด้านสภาพที่เอื้ออำนวยต่อการวิจัย
1. มีแหล่งสำหรับค้นคว้าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยอย่างเพียงพออาจเป็นห้องสมุด หรือบริการสืบค้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์
2. สามารถขอความร่วมมือจากผู้ที่เกี่ยวข้องในการวิจัย เช่น จากผู้สร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูล การให้ความร่วมมือจากกลุ่มตัวอย่าง ความร่วมมือจากหน่วยงานวิเคราะห์ข้อมูล
4. ข้อผิดพลาดในการเลือกปัญหาการวิจัย
1. เลือกหัวข้อปัญหาตามผู้อื่นหรือผู้อื่นมอบปัญหาการวิจัยให้ โดยที่ผู้วิจัยไม่มีความรู้ความสนใจ เพื่อทำวิจัยมักเกิดปัญหาอุปสรรคต่างๆ
2. เลือกปัญหาที่กว้างเกินไป เกินกำลังความสามารถของตนเอง
3. เลือกปัญหาอย่างรีบร้อน และลงมือวิจัยโดยไม่ได้วางแผนให้รอบคอบล่วงหน้า
4. ขาดการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย หรือศึกษาไม่เพียงพอ ทำให้มีความคิดคับแคบ ทำการวิจัยไม่รัดกุม
5. องค์ประกอบของปัญหาหัวข้อวิจัยที่ดี
1. กระทัดรัด สื่อความหมายในประเด็นที่วิจัย
2. หัวเรื่องหรือหัวข้อที่จะทำวิจัย ต้องไม่แคบและไม่กว้างเกินไป
3. ตัวแปรอย่างน้อย 2 ตัว ที่แสดงความสัมพันธ์กันสามารถทดสอบได้
4. ตรงกับความสามารถและความถนัดของผู้วิจัยเอง
5. สามารถออกแบบวิจัยได้จริงในทางปฏิบัติ
6. มีเวลา แรงงาน งบประมาณเพียงพอ
7. มีประโยชน์ต่อหน่วยงาน หรือชุมชน
8. ไม่เคยมีใครทำมาก่อน หรือหากมีคนทำมาก่อนแล้ว แต่เมื่อเวลาล่วงไปนานพอสมควร ผลที่เกิดขึ้นอาจเปลี่ยนแปลงไป ก็สามารถทำวิจัยได้อีก
6. การตั้งชื่อหัวข้อปัญหาการวิจัย
1. ชื่อเรื่องควรระบุชื่อตัวแปรสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวแปรตาม (Dependent Variable) และตัวแปรอิสระ (Independent Variable) เป็นตัวแปรหลักๆ เพื่อให้รู้ว่าวิจัยเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง
2. ชื่อเรื่องควรระบุถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นแหล่งข้อมูล ที่ภาษาวิจัยเรียกว่า "ประชากร" (Population) หรือ "กลุ่มตัวอย่าง" (Sample) เพื่อให้รู้ว่าเก็บข้อมูลที่ไหน หรือกลุ่มเป้าหมายมีลักษณะอย่างไร พอสังเขป
3. ชื่อเรื่องควรบอกวิธีวิจัยอย่างคร่าวๆ ว่าทำวิจัยประเภทใด เช่นเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ หรือเชิงเปรียบเทียบหรือเป็นการวิจัยเชิงทดลอง
ตัวอย่างการตั้งชื่องานวิจัย
7. การออกแบบการวิจัย (Research design)
หมายถึง การกำหนดแผนโครงสร้างและยุทธวิธีที่จะใช้ในการศึกษาวิจัย เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบหรือข้อความรู้ตามปัญหาการวิจัยที่ตั้งไว้การออกแบบการวิจัยเป็นการบอกว่า ในการทำวิจัย ครั้งนี้มีสมมติฐานอย่างไรกลุ่มประชากรเป็นใครเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างไร และจะวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร เป็นต้น ดังนั้น การ ออกแบบการวิจัยที่ดีช่วยให้การดำเนินการวิจัยได้คำตอบสำหรับปัญหาการวิจัยอย่างถูกต้องและประหยัดเพราะการออกแบบ การวิจัยได้มีการกำหนดกรอบการวิจัยด้านต่างๆได้อย่างเหมาะสมซึ่งจะทำให้การวิจัยดำเนินไปอย่างราบรื่นและตรงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. ความถูกต้องของการวิจัย ผลงานวิจัยที่ดี ต้องมีความถูกต้อง2 อย่าง คือ
1.1 ความถูกต้องภายใน (Internal Validity) หมายถึง ความถูกต้องของเนื้อหา และข้อสรุปที่ได้จากผลการวิจัย
1.2 ความถูกต้องภายนอก (External Validity) หมายถึง ความถูกต้องของข้อสรุปผลเมื่อนำไปใช้กับประชากรทั่วไป ดังนั้น ความถูกต้องภายนอกจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าการวิจัยนั้นไม่มีความถูกต้องภาย ใน
1.3 ต้องการข้อมูลอะไรบ้าง โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์การวิจัย กรอบแนวความคิดและสมมติฐานการวิจัย
1.4 ข้อมูลเหล่านั้นได้จากที่ใดบ้าง โดยพิจารณาว่าจะได้ข้อมูลนั้นโดยการเก็บรวบรวมขึ้นมาใหม่ หรือใช้ข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว และต้องไปเก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นจากที่ใด
1.5 ต้องเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นจากใครบ้างโดยพิจารณาว่าประชากรเป้ าหมายมีลักษณะอย่างไร อยู่ที่ใด และต้องใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบใด จึงทำให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของเป้าหมายนั้น
1.6 ใช้วิธีการเก็บข้อมูลแบบใด โดยพิจารณาว่าควรเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีการตรวจ หรือวิธีการทดลองหรือวิธีการอื่น
1.7 ใช้วิธีการวิเคราะห์อย่างไร โดยพิจารณาว่าข้อมูลที่ได้นั้นควรใช้สถิติการวิเคราะห์เชิงพรรณนาหรือสถิติวิเคราะห์เชิงอนุมาน
2. วิธีการวิจัย โดยทั่วไป วิธีการวิจัยแบ่งได้เป็น3 วิธี คือ
2.1 วิธีการเชิงประวัติศาสตร์ (Historical Method) ผู้วิจัยต้องอ่านเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตและสิ่งแวดล้อมของเรื่องราวนั้นในอดีตพร้อมกับการบันทึกเหตุการณ์ หรือกิจกรรมต่าง ๆที่เกิดขึ้นและนำข้อมูลในอดีตที่ได้ทั้งหมดมาวิเคราะห์ และตีความหมายของผลกระทบของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยวิธีการตีความหมายในเชิงตรรกศาสตร์ ดังนั้น การออกแบบการวิจัย จะต้องหาวิธีการที่จะทำให้ได้คำตอบจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) ที่พรรณนาเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต ซึ่งอาจได้มาจากหลักฐานต่างๆ เช่น ปรัชญา
ชีวประวัติ ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม วรรณคดี และหลักฐานอื่นๆ เท่าที่มีอยู่ในการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์นี้ ผู้วิจัยต้องตั้งคำถามถามตนเองว่า ข้อมูลต่างๆ ที่ได้มานั้นให้ความหมายอะไรบ้าง และผู้บันทึกเรื่องราวต่างๆ ในอดีตได้พยายามแสดงอะไรให้เราทราบ และสามารถ สรุปหรือตีความหมายอะไรได้บ้างจากข้อมูลนั้น
2.2 วิธีการสำรวจ (Survey Method) เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ด้วยวิธีการสังเกตหรือสัมภาษณ์ ภายใต้สถาน การณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น และอาจเกิดขึ้นอีกภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น วิธีการสำรวจนี้จะเลือกประชากรมาศึกษาเพียงบางส่วน การออกแบบการวิจัยที่ใช้วิธีการสำรวจ มีอยู่ 2 วิธีการ คือ
2.2.1 วิธีการสำรวจเชิงพรรณนา (Descriptive Survey Method) เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ด้วยวิธีการสังเกตหรือการสัมภาษณ์การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจเชิงพรรณนาจะไม่มีการประมาณค่าประชากร (Parameter Estimation) หรือทดสอบสมมติฐาน (Hypothesis Testing) นั้นคือ ไม่เน้นวิธีการวิเคราะห์เชิงสถิติ (Statistical Analysis) วิธีการนี้อาจทำให้เกิด ความลำเอียง (Bias) ขึ้นได้ เพราะการสรุปหรือตีความข้อมูลขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของผู้วิจัยแต่ละคน
2.2.2 วิธีการสำรวจเชิงวิเคราะห์ (Analytical Survey Method) เป็นวิธีการที่เหมาะสมกับการวิจัย ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นว่าเกิดขึ้นได้อย่าง ไรโดยมุ่งเน้นการนำค่าสถิติที่ได้จากลุ่ม ตัวอย่าง (Statistic) ไปประมาณค่า (Estimate) ของประชากร (Parameter) หรือทดสอบสมมติฐาน และใช้วิธีการวิเคราะห์ทางสถิติ ในการหาข้อสรุป ข้อมูลที่ใช้ในการสำรวจเชิงวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ( Quantitative data) ผู้วิจัยต้องให้ความ สำคัญต่อการเลือกใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงสถิติให้เหมาะสมกับการวัดตัวแปรอีกด้วย
2.3 วิธีการทดลอง (Experimental Method) เป็นวิธีการวิจัยที่ใช้การทดลองเพื่อหาสาเหตุและผลของความผันแปรของตัวแปรที่ต้องการศึกษา ภายใต้สถานการณ์ที่มีการควบคุมเพื่อลดอิทธิพลของตัวแปรอื่นๆ ที่เราไม่สนใจ ให้มีความผันแปรน้อยที่สุด การออกแบบการวิจัยที่ใช้วิธี นี้ผู้วิจัยต้องพยายามวางแผนการสุ่มตัวอย่าง การทดลอง การเก็บรวบรวมข้อมูล การวัด และการเลือกใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงสถิติ
การดำเนินการวิจัย
การดำเนินการวิจัย ควรทำอย่างเป็นระบบและมีกระบวนการอย่างแน่ชัดเป็นลำดับ คือ กำหนดปัญหา หัวข้อและหัวเรื่อง การออกแบบการวิจัย ประมวลแนวคิดและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวคิดและแบบจำลอง ตั้งสมมติฐาน กำหนดตัวแปร เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลและพิสูจน์สมมติฐาน และสรุปผลการวิจัยอย่างเป็นระบบตามลำดับขั้นตอนการดำเนินงานวิจัย อาจแบ่งออกได้ 11 ขั้นตอน ดังนี้
1. การกำหนดหัวข้อการวิจัย หรือชื่อเรื่อง
2. การกำหนดประเด็นปัญหา หรือตั้งวัตถุประสงค์ของการวิจัย
3. การทบทวนวรรณกรรม หรือทบทวนเอกสารและแนวความคิดทฤษฎี
4. การสร้างกรอบแนวความคิด หรือตั้งสมมติฐานการวิจัย
5. การออกแบบการวิจัย
6. การกำหนดประชากรเป้าหมาย และการสุ่มตัวอย่าง
7. การสร้างเครื่องมือสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูล
8. การเก็บรวบรวมข้อมูล
9. การดำเนินการกับข้อมูล
10. การวิเคราะห์ข้อมูล
11. การเขียนรายงาน พิมพ์ และเผยแพร่ผลงานวิจัย
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย
เมื่อผู้วิจัยได้ปัญหาการวิจัยที่เหมาะสมและชัดเจนรวมทั้งการออกแบบการวิจัยทีเหมาะสมแล้ว งานสำคัญต่อมาที่ผู้วิจัยควรทำคือ การจัดทำแผนการดำเนินงานวิจัยในรูปเอกสารที่เรียกว่า Research Proposal เพื่อความสะดวกในการดำเนินงาน วิจัยในทางปฏิบัติ โครงการวิจัยประกอบด้วย รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาการวิจัยวัตถุประสงค์การวิจัยขอบเขตของการ วิจัย วิธีดำเนินการวิจัย ระยะเวลาที่ทำการวิจัย งบประมาณ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ และข้อมูลเกี่ยวกับผู้วิจัย
1. รูปแบบการเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย นอกจากจะต้องเขียนแผนการดำเนินงานวิจัย ผู้วิจัยจะต้องระบุชื่อผู้วิจัย หรือคณะผู้วิจัย พร้อมประวัติผู้วิจัยและต้องกล่าวถึงความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัยให้ทราบอย่างคร่าวๆ ก่อนที่จะ เขียน วัตถุประสงค์ของการวิจัย นอกจากนี้ยังต้องระบุถึงช่วงระยะเวลาที่ดำเนินการวิจัย รวมทั้งงบประมาณการวิจัยด้วยเพื่อให้ผู้อนุมัติ ทราบว่า โครงการวิจัยนี้ใช้ระยะเวลาเท่าไรโดยเริ่มดำเนินงานตามขั้นตอนต่างๆ ในช่วงเวลาใด และงบประมาณทั้งสิ้นเท่าไร แยกเป็นหมวดค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง โดยทั่วไปแล้วหน่วยงานผู้ให้ทุนอุดหนุนการวิจัยจะเป็นผู้กำหนดรูปแบบการเขียน ข้อเสนอ โครงการวิจัยว่าต้องระบุหัวข้อใด แต่สิ่งที่ขาดเสียไม่ได้คือ ชื่อเรื่องวัตถุประสงค์ของการวิจัย และวิธีดำเนินการวิจัย
ข้อเสนอโครงการวิจัย ส่วนใหญ่จะประกอบด้วย
1. ชื่อโครงการวิจัย
2. คณะผู้วิจัย
3. ความสำคัญและความเป็นมาของการวิจัย
4. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
6. วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
7. ระเบียบวิธีวิจัย ควรจะระบุเกี่ยวกับ
7.1 ประชากรเป้าหมาย
7.2 การสุ่มตัวอย่าง
7.3 เครื่องมือ และการสร้างเครื่องมือ
7.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล
7.5 การวิเคราะห์ข้อมูล
7.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
8. ขอบเขตของการวิจัย
9. ระยะเวลาและแผนการดำเนินงาน
10. งบประมาณที่ใช้ในการวิจัย
2. การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย
การกำหนดวัตถุประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายของการวิจัย เป็นขั้นตอนสำคัญในการทำวิจัย ถ้ากำหนดวัตถุประสงค์ไม่ชัดก็จะทำให้ผลการวิจัยที่ได้ไม่สอดคล้องกับความต้องการของปัญหาที่จะศึกษาในบางครั้งถ้าพิจารณาชื่อเรื่องอย่างเดียว ไม่สามารถตอบข้อคำถามได้ครบตามความต้องการ จึงจำเป็นจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ทำการวิจัยสามารถบอกรายละเอียดได้ว่า จะต้องศึกษาอะไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูล และการเสนอผลการวิจัยได้อย่างชัดเจนการกำหนดวัตถุประสงค์ ควรกำหนดเป็นข้อๆ เพื่อความสะดวกและมีความชัดเจนในการวิเคราะห์และตอบคำถามของแต่ละข้อ
สำหรับการตังวัตถุประสงค์ของการวิจัย ส่วนใหญ่ควรขึ้นต้นด้วยคำว่า "เพื่อ" และตามด้วยข้อความที่จะแสดงการกระทำในการวิจัยซึ่งมักจะเป็นคำต่อไปนี้ คือ ศึกษาสำรวจ เปรียบเทียบ หาความสัมพันธ์ หาผลกระทบ เป็นต้น
ตัวอย่างของวัตถุประสงค์ของการวิจัย เช่น
หัวข้อวิจัย : ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
วัตถุประสงค์การวิจัย: เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อสภาพแวดล้อมมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ใน 5 ด้าน คือ
1. ด้านการเรียนการสอน
2. ด้านเกี่ยวกับเพื่อนหรือสังคม
3. ด้านการบริหาร
4. ด้านการบริการวิชาการ
5. ด้านความประทับใจในมหาวิทยาลัย
3. ขอบเขตของการศึกษา
การจำกัดขอบเขตของการศึกษา เป็นการวางกรอบปัญหาให้เด่นชัดมากยิ่งขึ้นจะทำแคบหรือกว้างเพียงใด จะต้องนำอะไรบ้างมาพิจารณา การกำหนดขอบเขตของปัญหา จะต้องพิจารณา2 ด้าน คือ
1. ตัวแปร ได้แก่ ตัว แปรอิสระ ตัวแปรตาม ตัวแปรคุม มีกี่ตัว อะไรบ้างแต่ละตัวมีขอบเขตแค่ไหน
2. ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง
4. ข้อตกลงเบื้องต้น
เป็นเงื่อนไขที่ต้องการให้ผู้อ่านยอมรับล่วงหน้าโดยไม่ต้องมีการพิสูจน์ทำให้ผู้อ่านเข้าใจตรงกันโดยไม่มีข้อโต้แย้งส่วนใหญ่จะตกลงในเรื่อง ตัวแปร การจัดกระทำกับข้อมูล วิธีการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คุณภาพของเครื่องมือ เช่น
- คะแนนที่ได้จากการตอบแบบสอบถามในเวลาที่ต่างกันไม่ทำให้คะแนนต่างๆกัน
- นักศึกษาทุกคนตอบแบบสอบถามด้วยความเข้าใจและจริงใจ
- การวิจัยครั้งนี้ ถือว่าความแตกต่างในเรื่อง เพศ อายุ เชื้อชาติ ฐานะทางเศรษฐกิจ ตลอดจนอาชีพของบิดามารดาไม่มีผลกระทบต่อการเรียน
5. คำนิยามศัพท์
คำนิยามศัพท์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. นิยามองค์ประกอบ (Constitutive Definition) จะต้องระบุองค์ประกอบของตัวแปร รายละเอียด ลักษณะคุณสมบัติ เช่น ตัวแปร สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม หมายถึง อาชีพ รายได้การศึกษา
2. นิยามเชิงปฏิบัติการ (Operational Definition) จะต้องระบุถึงการเกิดหรือมีตัวแปรนั้น และวิธีการวัดตัวแปรนั้น
3. นิยามแบบนามธรรม จะคลุมเครือไม่ชัดเจนแม้จะฟังเข้าใจก็ตาม เช่น ตัวแปรสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมอาจหมายถึง ฐานะความเป็นอยู่ หรือชีวิตความเป็นอยู่
6. การนิยามตัวแปร
การนิยามตัวแปร แบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ
1. การนิยามตัวแปรในรูปแนวความคิด (Conceptual Definition) หรือนิยามทั่วไป( General Definition)
- มีลักษณะคล้ายพจนานุกรม
- ได้จากตำราทางวิชาการต่างๆ
- เหมาะกับตัวแปรที่เป็นนามธรรมยากแก่การสังเกต หรือวัดออกมาได้
2. คำนิยามปฏิบัติการ (Operational or Working Definition)
- สังเกตได้ วัดได้
- เหมาะกับตัวแปรที่เป็นรูปธรรม
- ผู้วิจัยให้คำนิยามด้วยตัวเอง
- มีการกำหนดตัวบ่งชี้วัดตัวแปร( Indicator)
ตัวอย่างการนิยามตัวแปร
ตัวแปร : การมีส่วนร่วมทางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบูรณ์
คำนิยามทั่วไป : การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง การที่นักศึกษาไปมีส่วนร่วมในกิจการต่างๆ ขององค์การ หรือระบบ หรือ กระบวนการทางการบริหาร หรือทางการเมือง
คำนิยามปฏิบัติการ : การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง การที่นักศึกษาทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกิจการในมหาวิทยาลัย องค์การปกครองท้องถิ่นการเมืองในระดับชาติซึ่งจะดูได้จากสิ่งต่อไปนี้
1. การรับฟังข่าวสารบ้านเมือง
2. การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
3. การชักจูงให้ผู้อื่นลงคะแนนเสียง
4. การเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมือง การทำงานให้พรรค
5. เข้ารับสมัครเลือกตั้ง
7. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ในการทำวิจัยแต่ละเรื่อง จะต้องทราบว่าเมื่อทำวิจัยเสร็จแล้วจะนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างไรประโยชน์ของการวิจัยอาจใช้ได้หลายลักษณะ เช่น บางหน่วยงานอาจจะนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบาย ปรับปรุงการเรียนการสอน ใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจแก้ปัญหาที่กำลังประสบ หรือทำข้อเสนอแนะ เป็นต้น
8. การกำหนดสมมติฐาน
สมมติฐาน หมายถึง การเดา หรือการสมมติที่มีเหตุผล โดยอาศัยประสบการณ์หรือหลักฐานที่มีอยู่ หรืออาจหมายถึงการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัวแปรขึ้นไป ที่คาดหวังไว้ และสามารถทดสอบ (โดยผู้วิจัย) ในความเป็นจริง หรือเชิงประจักษ์ได้ หรือหมายถึง หลักการที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อต้องการที่จะพิสูจน์ว่าเป็นความจริงหรือไม่ นั้นคือสมมติฐานจะเป็นตัวชี้แนะแนวทางคำตอบของปัญหาการวิจัยและทำหน้าที่เป็นทิศทางและแนวทางของการวิจัย
สมมติฐานการวิจัย (Hypothesis) ต้องขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การวิจัย คิดว่าผลวิจัยตามวัตถุประสงค์เป็นอย่างไร และทำไมจึงคาดหวังอย่างนั้น
8.1 ความสำคัญของสมมติฐาน
1. ช่วยจำกัดขอบเขตของการวิจัย เพราะผู้วิจัยจะทำการวิจัยตามแนวทางที่ตั้งสมมติฐานไว้เท่านั้น
2. ช่วยให้ผู้วิจัยมองเห็นปัญหาการวิจัยชัดขึ้น
3. ช่วยมองเห็นภาพข้อมูล และความสัมพันธ์ของข้อมูล ตลอดจนวิธีวิเคราะห์ข้อมูล
4. ช่วยชี้แนวทางในการแปลผล และสรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูล
8.2 แหล่งที่มาของสมมติฐาน
1. จากความรู้ของผู้วิจัย และประสบการณ์
2. จากการใช้หลักเหตุผล โดยการคิดวิเคราะห์หาเหตุผลว่ามีอะไรบ้าง และนำมาหา
ความสัมพันธ์กัน
3. จากผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หรือสิ่งที่ค้นอื่นค้นพบไว้
4. จากทฤษฎีและหลักการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรของเรื่องที่จะทำการวิจัย
8.3 ตัวแปรในสมมติฐาน
ตัวแปร (Variable) หมายถึง สิ่งที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา และเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปรค่าได้ เช่น เพศ อาชีพ ศาสนา เป็นต้น อาจหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่มีค่าเปลี่ยนแปลงได้หลายค่า หรือมีค่าไม่คง ที่ตัวแปรทางสังคมศาสตร์ หรือรัฐประศาสนศาสตร์มีมากมาย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาในระดับบุคคล กลุ่มในองค์กร สิ่งแวดล้อมรอบนอกองค์กรกิจกรรมการบริหาร กระบวนการบริหาร และอื่นๆ
ตัวแปรอาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) หรือตัวแปรต้น คือตัวแปรที่มีส่วนในการ
กำหนด หรือมีอิทธิพลต่อตัวแปรตาม เป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลในการอธิบายความแตกต่างของตัวแปรตาม
ได้บางครั้งอาจเรียกตัวแปรประเภทนี้ว่า "ตัวแปรสาเหตุ" (Cause Variable)
2. ตัวแปรตาม (Dependent Variable) คือตัวแปรที่ค่าของมันถูกกำหนดโดยตัวแปรอื่น ๆ หากไม่มีตัวแปรอื่น ตัวแปรตัวนี้จะไม่มีค่า เราอาจเรียกตัวแปรตามว่า"ตัวแปรผลลัพธ์" (Effected Variable)
3. ตัวแปรเกิน (Extraneous Variable) หรือตัวแปรภายนอก คือตัวแปรที่อาจมีอิทธิพลต่อตัวแปรตามแต่ไม่ใช่ตัวแปรที่ผู้วิจัยเจาะจงศึกษา บางครั้งผู้วิจัยสามารถวิเคราะห์ได้ล่วงหน้า ก็อาจควบคุมอิทธิพลของตัวแปรเหล่านี้ไว้ตัวแปรที่ควบคุมไว้นี้เรียกว่า "ตัวแปรคุม" (Controlled Variable) ตัวแปรบางตัวผู้วิจัยควบคุมไว้ไม่ได้ แต่สามารถเข้าไปมีอิทธิพลต่อตัวแปรเช่นนี้ เรียกว่า "ตัวแปรสอดแทรก" (Intervening Variable)
ตัวอย่างการวิเคราะห์ตัวแปร
8.4 เกณฑ์การตั้งสมมติฐาน ในการตั้งสมมติฐานมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1. สมมติฐานนั้นต้องสามารถทดสอบได้ด้วยวิธีการทางสถิติ
2. สมมติฐานต้องมีเหตุผล สอดคล้องกับทฤษฎีและผลงานวิจัยของผู้อื่น
3. สมมติฐานต้องสอดคล้องกับปัญหา และวัตถุประสงค์ของการวิจัยสามารถตอบปัญหาการวิจัยได้
4. สมมติฐานต้องบอกความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรไว้ชัดเจน
8.5 ข้อเสนอแนะในการเขียนสมมติฐาน
1. ควรเขียนสมมติฐานหลังจากทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องแล้ว
2. สมมติฐานควรเขียนในรูปบอกเล่า ไม่ใช่รูปคำถาม
3. ควรมีสมมติฐานมากกว่า 1 ข้อ
4. สมมติฐานจะต้องสามารถทดสอบได้
5. ควรใช้ภาษาง่ายๆ แต่ชัดเจน
6. ควรมีเหตุผลน่าเชื่อถือ สามารถอธิบายเหตุผลสนับสนุนอย่างสมบูรณ์
8.6 ประเภทของสมมติฐาน สมมติฐานสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. สมมติฐานทางการวิจัย เป็นสมมติฐานที่เขียนขึ้นเพื่อคาดคะเน ตอบปัญหาของากรวิจัย โดยอาศัยหลักเหตุผล ความรู้ประสบการณ์จากทฤษฎี จะเขียนในรูปของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ต้องการศึกษาแบ่งเป็น 2 แบบ คือ
1.1 แบบไม่มีทิศทาง (Nondirectional Hypothesis) อาจเนื่องจากผู้วิจัยไม่แน่ใจที่จะกำหนดทิศทางของความแตกต่าง หรือความสัมพันธ์ของตัวแปรเช่น
- นักเรียนที่มีอายุต่างกันมีความสามารถในการอ่านแตกต่างกัน
- ผลการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยวิธีสอน ก. และวิธีสอน ข. แตกต่างกัน
- ความสามารถในการแก้ปัญหากับผลการเรียนวิทยาศาสตร์มีความสัมพันธ์กัน
- ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมทางการเมือง
1.2 แบบมีทิศทาง (Directional Hypothesis) เนื่องจากผู้วิจัยมีความมั่นใจที่จะกำหนดทิศทางของความแตกต่างระหว่างตัวแปร จะมีคำว่า มากกว่า น้อยกว่า สูงกว่า หรือต่ำกว่า (บวก หรือ ลบ)
- เด็กหญิงมีความสามารถทางภาษาสูงกว่าเด็กผู้ชาย
- คะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยกับเกรดเฉลี่ย ม.6 มีความสัมพันธ์กันในทางบวก
2. สมมติฐานทางสถิติ เป็นสมมติฐานที่เขียนอยู่ในรูปของสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์เพื่อให้สามารถทดสอบได้โดยวิธีการทางสถิติ
สมมติฐานว่าง (Null Hypothesis) เป็นสมมติฐานที่แสดงความไม่แตกต่างกัน หรือความไม่สัมพันธ์กันระหว่าง ตัวแปรที่ต้องการศึกษา
สมมติฐานแย้ง (Alternativel Hypothesis) เป็นสมมติฐานที่แสดงถึงความแตกต่างระหว่างตัวแปร หรือความสัมพันธ์กันระหว่างตัวแปรที่ต้องการศึกษา
ตัวอย่างการตั้งสมมติฐาน
- ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมทางการเมือ ง
- ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับกากร้าวหน้าในงาน
- เพศหญิงมีความเชื่อโชคลางมากกว่าเพศชาย
- เพศมีความสัมพันธ์กับสถานภาพสมรส
- เพศมีความสัมพันธ์ทางเดียวกันกับสถานภาพสมรส
- เพศมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามหรือกลับกันกับสถานภาพสมรส
8.7 ประโยชน์ของสมมติฐาน
1. เป็นแนวทางในการวิจัย นั้นคือเราจะทำการวิจัยเพื่อตรวจสอบสมมติฐานที่กำหนดไว้
2. จำกัดขอบเขตของการวิจัยให้ดำเนินไปตามจุดประสงค์ที่ได้กำหนดไว้
3. ช่วยให้ผู้วิจัยมีความเข้าใจแจ่มแจ้งเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำวิจัย
การนำเสนอผลการวิจัย
1. รูปแบบในการนำเสนอผลการวิจัย
ขั้นตอนสุดท้ายของการทำการวิจัยในโครงการหนึ่งๆ ก็คือ การนำเสนอผลการวิจัยที่ได้พบหรือพิสูจน์มาจากโครงการนั้นๆ โดยปกติแล้วการนำเสนอผลการวิจัยมักเสนอในลักษณะที่เกี่ยวข้องท้าวความมา ตั้งแต่เริ่มโครงการวิจัย คือเริ่มตั้งแต่ปัญหาที่วิจัย วิธีการที่ทำวิจัยและผลการวิจัยที่ค้นพบหรือพิสูจน์ได้ ทังนี้เพื่อให้ผู้ที่ศึกษาติดตามงานวิจัยนั้นๆ ได้ทราบและเข้าใจ รายละเอียดของโครงการวิจัยตั้งแต่ต้นจนจบ
การนำเสนอผลการวิจัยอาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น เสนอผลการวิจัยด้วยปากเปล่าในการสัมมนา หรือประชุมวิชาการในการนำเสนอรายงานด้วยปากเปล่านั้น เพื่อความเข้าใจได้ง่ายขึ้นและทำให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ผู้วิจัยอาจใช้เครื่องมือบางอย่างเข้าช่วย เช่น แผนภูมิ แผนที่ ภาพนิ่ง แผ่นใส หรือใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น โปรแกรม PowerPoint หรือนำเสนอผลการวิจัยในรูปของบทความวิจัยเฉพาะสาระสำคัญๆ ลงพิมพ์เผยแพร่ในวารสารทางวิชาการเฉพาะสาขาวิชานั้นๆ ก็ได้ ต้องพยายามเสนอเฉพาะสาระสำคัญและประเด็นหลักๆ ที่ค้นพบหรือพิสูจน์ได้จากการวิจัย
2. รูปแบบของรายงาน
โดยทั่วไปแล้วรายงานการวิจัยที่จัดเสนอในรูปของข้อเขียนจะใช้รูปแบบของรายงานประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนนำส่วนเนื้อหา และส่วนอ้างอิง ในแต่ละส่วนก็จะมีส่วนย่อยๆ อีกหลายส่วนตามลำดับ ดังนี้
ส่วนนำ เป็นส่วนแรกของรายงานการวิจัยเพื่อแนะนำโครงการวิจัย และเพื่อให้ผู้อ่านได้มีโอกาสทำความรู้จักกับงานวิจัยนั้นๆ เป็นพื้นฐานรวมทั้งได้มีโอกาสเข้าใจงานวิจัยนั้นอย่างง่ายๆ สั้นๆ โดยรวดเร็ว ได้รายละเอียดปลีกย่อยสรุปได้ ดังนี้
ส่วนนำ ประกอบด้วย
1. ปก
2. หน้าชื่อเรื่อง หรือปกใน
3. หน้าอนุมัติ (ถ้ามี)
4. บทคัดย่อ
5. กิตติกรรมประกาศ
6. สารบัญเรื่อง
7. สารบัญตาราง
8. สารบัญภาพ
ส่วนเนื้อหา เป็นสาระสำคัญที่สุดของโครงการวิจัย เป็นการบรรยายโดยละเอียดถึงประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานวิจัยนั้นๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วนเนื้อหานี้อาจแบ่งเป็นบทๆ หรือเป็นตอนๆ ได้หลายบทตามความพอใจของผู้วิจัย และไม่มีเกณฑ์ตายตัว แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนเนื้อหานี้จะต้องครอบคลุมถึงประเด็นต่างๆ รวม4 ประเด็น ดังนี้
1. บทนำ หรือ คำนำ ประกอบด้วย
1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.3 สมมติฐานในการวิจัย
1.4 ขอบเขตของการวิจัย
1.5 นิยามศัพท์
1.6 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย
2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
3. วิธีดำเนินการวิจัย หรือระเบียบวิธีวิจัย
3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
3.2 เครื่องมือและการสร้างเครื่องมือ
3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล
3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล
3.5 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
4. ผลการวิจัย หรือผลการศึกษา
4.1 การเสนอผลการวิเคราะห์
4.2 การแปลความหรือตีความข้อมูล
5. สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
5.1 สรุปผลการวิจัย
5.2 อภิปรายผล
5.3 ข้อเสนอแนะ
ส่วนอ้างอิง เป็นส่วนที่เพิ่มน้ำหนักของส่วนที่เขียนไว้จากส่วนที่สองของรายงานการวิจัย ซึ่งประกอบด้วย
1. บรรณานุกรม
2. ภาคผนวก
บทที่ 3 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ความหมายของประชากร และกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร (Population) ในการวิจัยหมายถึง กลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มทั้งหมดของสิ่งที่ต้องการศึกษาวิจัยในการศึกษาวิจัยนั้น ประชากรอาจเป็นบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กรหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ตลอดจนวัตถุก็ได้ เป็นแหล่งข้อมูลที่นักวิจัย นำมาศึกษาวิจัย ประชากรของการวิจัยจะมีลักษณะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวข้างต้นนั้นขึ้นอยู่กับเรื่องที่ทำการศึกษาวิจัย และวัตถุประสงค์ของการวิจัยเป็นสำคัญ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ประชากรของการวิจัย สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้
1. ประชากรแบบจำกัด (Finite Population) คือ ประชากรที่ผู้วิจัยสามารถแจงนับจำนวนประชากรได้ทังหมด เช่น จำนวนนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ในปีการศึกษา2 547 จำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชาโปรแกรมประยุกต์ทางด้านสถิติและวิจัย เป็นต้น
2. ประชากรแบบไม่จำกัด (Infinite Population) คือ ประชากรที่ผู้วิจัยไม่สามารถแจงนับจำนวนประชากรออกมาได้ทั้งหมดเช่น จำนวนข้าวสารในหนึ่งกระสอบ จำนวนคำในหนังสือที่มีความหนามากๆ จำนวนต้นข้าวในทุ่งนาแห่งหนึ่ง เป็นต้น
กลุ่มตัวอย่าง (Sample) ในการวิจัยหมายถึง ตัวแทนที่เป็นส่วนหนึ่ง กลุ่มที่ถูกสุ่มตัวอย่างขึ้นมาจากประชากรเพื่อใช้เป็นตัวแทนของการศึกษาวิจัย กลุ่มตัวอย่างต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ประการคือ ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างจากประชากร ของการศึกษาวิจัย และการมีคุณสมบัติของการเป็นตัวแทนที่ดีของประชากร หากผู้วิจัยดำเนินการสุ่มตัวอย่างที่ไม่สามารถเป็นตัวแทนของประชากรได้แล้ว จะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนของการสรุปผลการวิจัยอย่างมาก
ความสำคัญของประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
การกำหนดกลุ่มประชากรที่ชัดเจนในการศึกษาวิจัย มีความสำคัญต่อการวิจัยหลายประการ คือ
1. ทำให้ทราบกรอบของการศึกษาวิจัยที่ชัดเจนเกี่ยวกับประชากร
2. ทำให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย ระยะเวลา และงบประมาณ
3. ทำให้การสำรวจข้อมูลมีทิศทางที่ชัดเจน
4. สามารถสร้างกรอบตัวอย่างของการสุ่มได้ (Frame หรือ Sampling Frame) หากกลุ่มประชากรที่ศึกษาวิจัยมีจำนวนจำกัด (Finite Population) กรอบตัวอย่าง หมายถึง บัญชีรายชื่อของหน่วยสำรวจ (Sampling Unit หรือ Unit) ที่ระบุลำดับที่ หรือเลขที่ ชื่อและที่อยู่ที่สามารถติดต่อหรือติดตามได้
5. การสรุปผลการวิจัยและการสรุปอ้างอิงผลการวิจัย สามารถทำได้แต่ไม่สามารถสรุปผลยืนยันได้ว่าผลงานวิจัยมีความถูกต้องเชื่อถือได้ในการวิจัย เราเรียกว่าปัญหาของการขาดความตรงภายใน
( Internal Validity) รวมถึงการไม่สามารถที่จะ นำไปเป็นข้อมูลสรุปทั่วไปได้ในการวิจัย เราเรียกว่า ปัญหาของการขาดความตรงภายนอก (External Validity)
การกำหนดขนาดของตัวอย่าง (Sample Size)
ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่อไปนี้
1. การกระจายของประชากร หรือลักษณะของประชากร ถ้าสมาชิกหรือหน่วยต่างๆ ของประชากรมีความแตกต่างกันมาก (Heterogeneous) จะทำให้ประชากรมีความแปรปรวนสูง จำเป็นต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวนมากเพื่อให้สามารถเป็นตัวแทนที่ดีของประชากร แต่ถ้าสมาชิกหรือหน่วยต่างๆ ของ ประชากรมีความแตกต่างกันน้อย หรือมีลักษณะเหมือนๆ กัน (Homogeneous) ทำให้ประชากรมีความแปรปรวนต่ำ ไม่จำเป็น ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวนมากเหมือนกรณีที่ประชากรมีการกระจายสูง
2. ประเภทของการวิจัย โดยทั่วไปงานวิจัยเชิงบรรยายใช้กลุ่มตัวอย่างค่อนข้างมาก โดยเฉพาะที่เป็นการวิจัยเชิงสำรวจเพราะการวิจัยประเภทนี้ส่วนใหญ่ต้องการข้อมูลพื้นฐานในเรื่องต่างๆ โดยมีเครื่องมือที่จะเอื้ออำนวยในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสำรวจ แบบสอบถาม เป็นต้น งานวิจัยเชิงบรรยายหลายเรื่องมีกลุ่มตัวอย่างเป็นร้อยเป็นพัน สำหรับงานวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่างค่อนข้างมีจำกัด เพราะต้องมีการทดลองปฏิบัติจริง โดยทั่วไปกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองเพื่อเปรียบเทียบผลมักมีจำนวนประมาณ 30 คน หากเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวนกลุ่มตัวอย่างก็ยิ่งน้อยลงมาก อาจมีเพียงไม่กี่
คนก็ได้
3. ขนาดของความคลาดเคลื่อนที่จะยอมให้เกิดขึ้นได้ ขนาดของความคลาดเคลื่อนควรจะเป็นเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับความสำคัญของเรื่องที่จะทำการศึกษาวิจัย เช่น นักวิจัยทางการแพทย์ศึกษาการออกฤทธิ์ของยาชนิดหนึ่งที่ผลิตขึ้นใหม่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคน ควรให้มีความคลาดเคลื่อนต่ำที่สุดเท่าที่จะ เป็นไปได้ส่วนการวิจัยทางสังคมศาสตร์ โดยทั่วไปมักยอมให้มีความคลาดเคลื่อนคือ 0.01, 0.05 หรือ 0.10 แต่ที่นิยมใช้กันคือ 0.01 และ 0.05
4. ระดับความเชื่อมั่น ระดับความเชื่อมั่น หมายถึง ค่าที่แสดงความมั่นใจต่อการสรุปผลได้อย่างถูกต้องซึ่งโดยทั่วไปแล้วในการวิจัยจะมีการกำหนดค่าของระดับความเชื่อมั่นไว้เท่ากับ .95 และ .99 ถ้าผู้วิจัยกำหนดค่าความเชื่อมั่นไว้เท่ากับ .99 หมายความว่า ผู้วิจัยมี โอกาสสรุปผิดพลาด 1 ครั้งจากทั้งหมด
100 ครั้ง หรือถ้าผู้วิจัยกำหนดค่าความเชื่อมั่นไว้เท่ากับ .95 หมายความว่า ผู้วิจัยมีโอกาส สรุปผิดพลาด 5 ครั้งจากทั้งหมด 100 ครั้ง ถ้าผู้วิจัยต้องการระดับความเชื่อมั่นสูงถึง .99 หรือ 99% ขนาดของกลุ่มตัวอย่างก็จำเป็นต้องใหญ่ขึ้นกว่าการกำหนดระดับความเชื่อมั่นไว้เท่ากับ .95
5. ขอบเขตของประชากร ถ้าประชากรที่ศึกษา มีลักษณะแตกต่างกันและมีขอบเขตกว้างมาก ขนาดตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยก็ควรจะมีมากกว่าประชากรที่มีขอบเขตไม่กว้าง เช่น การศึกษาทั่วประเทศ ขนาดของกลุ่มตัวอย่างก็ต้องมีจำนวนมากกว่าการศึกษาเพียงภาคใดภาคหนึ่ง
6. ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ งบประมาณ ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัยและกำลังคน
ถ้าต้องการขนาดตัวอย่างมากแต่งบประมาณน้อย หรือกำลังคนในการเก็บรวบรวมข้อมูลไม่เพียงพอ ก็จะทำให้งานวิจัยนั้นต้องล่าช้าเกินระยะเวลาที่กำหนด หรืออาจทำให้ไม่สามารถทำงานวิจัยนั้นสำเร็จได้
การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม
การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม อาจจำแนกได้ 3 แนวทาง คือ
1. การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยการใช้เกณฑ์ กรณีที่ผู้วิจัยทราบจำนวนประชากรที่แน่นอน สามารถคำนวณหาขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยการใช้เกณฑ์การกำหนด นิภา ศรีไพโรจน์ (2527 : 79) ได้กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้เกณฑ์ ดังนี้
เมื่อ N หมายถึง ขนาดหรือจำนวนประชากรทั้งหมด เช่น
ถ้าจำนวนประชากรมี 600 คน จำนวนขนาดตัวอย่าง 90-180 คน
ถ้าจำนวนประชากรมี 1,500 คน จำนวนขนาดตัวอย่าง 150-225 คน
ถ้าจำนวนประชากรมี 15,000 คน จำนวนขนาดตัวอย่าง 750-1,500 คน
ถ้าจำนวนประชากรมี 150,000 คน จำนวนขนาดตัวอย่าง 1,500-7,500 คน
2. การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยคำนวณจากสูตร ซึ่งจะมีสูตรในการคำนวณ รวมถึงต้องพิจารณาว่าทราบจำนวนประชากรทั้งหมดหรือไม่ เพราะการคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างในกรณีที่ทราบจำนวนประชากรกับกรณีที่ไม่ทราบจำนวนประชากรจะใช้สูตรต่างกัน (ซึ่งจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้)
3. การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยตาราง นักสถิติได้คำนวณขนาดของตัวอย่างออกมาเป็นตารางสำเร็จรูปเพื่อความสะดวกแก่ผู้วิจัยในการคำนวณขนาดตัวอย่าง (สามารถ Seacrh หาได้จากอินเทอร์เน็ต)
เทคนิคการเลือกตัวอย่าง
เทคนิคการเลือกตัวอย่างโดยทั่วไปสามารถจำแนกได้ 2 แนวทาง คือ
1. การเลือกตัวอย่างจากประชากรโดยไม่อาศัยความน่าจะเป็น (Non probability Sampling) ส่วนมากใช้ในกรณีที่ผู้วิจัยไม่ทราบขอบเขตของกลุ่มประชากรที่แน่นอน หรือกลุ่มประชากรมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เช่น จำนวนนักศึกษาที่เดินข้ามสะพานลอยหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ในแต่ละวันการเลือกตัวอย่างโดยวิธีนี้ ทำได้สะดวก รวดเร็วแต่ตัวอย่างที่ได้มักจะไม่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากรซึ่งมีรูปแบบการเลือกที่นิยมใช้กัน ดังนี้
การเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ไม่มีกฎเกณฑ์ จะเลือกใครก็ได้ที่สามารถให้ข้อมูลที่ผู้วิจัยต้องการจนครบจำนวนที่กำหนด เช่น ต้องการสอบถามความรู้สึกของนักศึกษาที่มีต่อการนำเทคโนโลยีมาใช้ในห้องสมุด โดยสัมภาษณ์นักศึกษาที่เข้ามา ใช้บริการห้องสมุดเท่านั้น กลุ่มตัวอย่างที่ได้จึงไม่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากร ผลที่ได้ก็ไม่สามารถอ้างอิงประชากรได้
การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยใช้ดุลยพินิจพิจารณาว่าสมาชิกกลุ่มใดน่าจะเป็นตัวแทนที่ดีของประชากร เช่น ต้องการทราบความคิดเห็นของบรรณารักษ์ที่ทำงานห้องสมุดมหาวิทยาลัยของรัฐ เกี่ยวกับการนำระบบห้องสมุดอัตโนมัติมาใช้ ผู้วิจัยแต่ละคนอาจใช้ดุลยพินิจในการเลือกกลุ่มตัวอย่างแตกต่างกันไป เช่น ผู้วิจัยบางคนอาจใช้บรรณารักษ์บริการตอบคำถาม เป็นตัวแทน แต่ผู้วิจัยบางคนอาจใชับรรณารักษ์ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการบริหาร เป็นตัวแทน ดังนั้นกลุ่มตัวอย่างที่ได้ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นตัวแทนที่ดีของกลุ่มประชากรที่ต้องการได้
การเลือกตัวอย่างแบบตรงตามชนิด (Typical Sampling) เป็นการเลือกตัวอย่างที่มีลักษณะคล้ายวิธีการเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญ แต่ต่างกันตรงที่ว่าวิธีการนี้ต้องถามกลุ่มตัวอย่างก่อนว่าเป็นกลุ่มตัวอย่างที่ต้องการหรือไม่ เช่น ต้องการสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อผู้สัมภาษณ์พบนักศึกษาที่เดินเข้า-ออกประตูรั้วมหาวิทยาลัย ก่อนอื่นจะต้องถามว่าเป็นนักศึกษา คณะวิศวกรรมศาสตร์หรือไม่ ถ้าเป็นจึงจะทำการสัมภาษณ์ ถ้าไม่เป็นก็ไม่สัมภาษณ์
2. การเลือกตัวอย่างจากประชากรโดยอาศัยความน่าจะเป็น (Probability Sampling) ใช้ในกรณีที่ผู้วิจัยทราบขอบเขตของกลุ่มประชากร หรือจำนวนสมาชิกที่ต้องการศึกษาที่แน่นอน โดยที่สมาชิกทุกหน่วยของประชากรมีโอกาสได้รับเลือกเท่าๆ กัน ซึ่งเป็นการเลือกโดยการสุ่ม (Random) ซึ่งเป็นวิธีที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าผลการวิจัยที่ศึกษาสามารถอ้างอิงไปสู่ประชากรได้ จึงทำให้การวิจัยทางสังคมศาสตร์นิยมใช้วิธีการเลือกตัวอย่างจากประชากร โดยอาศัยความน่าจะเป็น มากกว่าการเลือกตัวอย่างจากประชากรโดยไม่อาศัยความน่าจะเป็น การเลือกตัวอย่างจากประชากร โดยอาศัยความน่าจะเป็น มีรูปแบบที่นิยมใช้กัน ดังนี้
การเลือกตัวอย่างสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) หมายถึง การสุ่มตัวอย่างที่แต่ละหน่วยของประชากรมีโอกาสหรือความน่าจะเป็นที่จะได้รับเลือกมาเป็นตัวอย่างเท่ากันหมดทุกๆ หน่วย และแต่ละหน่วยเป็นอิสระจากกันการสุ่มตัวอย่างโดยวิธีการนี้ใช้กับกลุ่มประชากรที่มีลักษณะคล้ายๆ กัน (Homogeneity) หรือ แตกต่างกันน้อยมากไม่สามารถจัดแบ่งออกเป็นพวกๆ ได้ เช่น บรรณารักษ์ที่จบวุฒิการศึกษาระดับปริญญา ตรี หรือหนังสือที่จัดอยู่ในหมวดเดียวกันจะมีลักษณะเนื้อหาที่คล้ายคลึงกัน การสุ่มตัวอย่างแบบง่ายนี้นิยมใช้กัน 3 วิธี คือ การจับฉลาก การใช้ตารางเลขสุ่ม และการใช้
คอมพิวเตอร์สุ่มตัวอย่าง
การเลือกตัวอย่างสุ่มแบบแบ่งพวกหรือชั้นภูมิ(Stratified Random Sampling) หมายถึง วิธีการเลือกตัวอย่างในกรณีที่กลุ่มประชากรที่ต้องการศึกษามีลักษณะแตกต่างกัน แต่ในลักษณะของความแตกต่างนั้น สามารถจัดแยกออกเป็นพวกๆ หรือเป็นหมวดหมู่ หรือเป็นชั้นภูมิได้ โดยมีหลักการดังนี้
1. สมาชิกหรือหน่วยของประชากรที่อยู่ในชั้นภูมิเดียวกัน จะมีลักษณะหรือคุณสมบัติ
คล้ายกัน (Homogeneity between stratum) มากที่สุด
2. สมาชิกหรือหน่วยของประชากรที่อยู่ต่างชั้นภูมิจะมีลักษณะหรือคุณสมบัติแตกต่างกัน (Heterogeneity between stratum)
3. กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างรวมโดยใช้สูตรคำนวณ หรือตารางสำเร็จรูป
4. กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างของแต่ละชั้นภูมิ โดยใช้สัดส่วนคือถ้าชั้นภูมิใดมีขนาดประชากรมากขนาดของกลุ่มตัวอย่างก็จะมากตามไปด้วย
5. สุ่มตัวอย่างแต่ละพวกหรือชั้นภูมิโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย
6. กลุ่มตัวอย่างที่ได้เป็นตัวแทนที่ดีของประชากร เพราะประกอบด้วยหน่วยตัวอย่างที่มาจากทุกๆ พวกหรือทุกๆ ชั้นภูมิของประชากร
ตัวอย่างเช่น ต้องการทราบความคิดเห็นของบรรณารักษ์ห้องสมุดแห่งหนึ่ง เกี่ยวกับการนำระบบห้องสมุดอัตโนมัติมาใช้ จากบรรณารักษ์ทั้งหมด 100 คน สามารถแบ่งตามระดับวุฒิการศึกษาที่จบคือ กลุ่มที่ 1 ระดับปริญญาตรี 50 คน กลุ่มที่ 2 ระดับปริญญาโท 30 คน และกลุ่มที่ 3 ระดับปริญญาเอก 20 คน คำนวณขนาดของตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูป ได้กลุ่มตัวอย่าง 80 คน และคำนวณสัดส่วนตามจำนวนของวุฒิการศึกษา จะได้ว่าต้องสุ่มตัวอย่างของบรรณารักษ์ระดับปริญญาตรี 40 คน ระดับปริญญาโท 24 คน และระดับปริญญาเอก 16 คน (รวม 80 คน)
การเลือกตัวอย่างแบบเป็นระบบ (Systematic Sampling) การสุ่มโดยวิธีนี้ใช้ในกรณีที่หน่วยตัวอย่างของกลุ่มประชากรจัดเรียงไว้เป็นระบบอยู่แล้ว เช่น รายชื่อหนังสือในตู้บัตรรายการในห้องสมุด การเรียงคำในพจนานุกรม หรือบ้านเลขที่ในหมู่บ้าน วิธีการสุ่มแบบนี้ผู้วิจัยต้องรู้กรอบประชากรที่แน่นอนว่า มีจำนวนประชากรที่ต้องการศึกษาจำนวนเท่าใดแล้วกำหนดหมายเลขให้กับประชากร จากนั้นกำหนดขนาดของ กลุ่มตัวอย่างเมื่อทราบขนาดของกลุ่มตัวอย่างก็หาช่วงของการ
สุ่ม (Sampling Interval) ซึ่งมีสูตรดังนี้
ตัวอย่างเช่น ถ้าคำนวณช่วงของการสุ่มได้ 5 หมายความว่าสุ่มบ้านเลขที่ขึ้นมา 1
บ้านเลขที่ แล้วเว้นไปอีก 4 เลขทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนครบจำนวนครัวเรือน
การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มหรือกลุ่มพื้นที่ (Cluster or Area Sampling) การสุ่มโดยวิธีนี้ใช้ในกรณีที่ประชากรอยู่อย่างกระจัดกระจายและมีจำนวนมาก และสามารถแบ่งกลุ่มประชากรออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ผู้วิจัยอาจใช้ลักษณะทางภูมิศาสตร์หรือสภาพภูมิประเทศเป็นเกณฑ์ในการแบ่งกลุ่ม เช่น ใช้หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ภาค เป็นต้น การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มหรือพื้นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งพวก หรือชั้นภูมิ แต่ต่างกันตรง ที่การสุ่มแบบแบ่งกลุ่มจะสุ่มตัวอย่างมาเพียงบางกลุ่มมาทำการศึกษาเท่านั้น ส่วนการสุ่มตัวอย่างแบบ แบ่งพวก หรือชั้นภูมิจะสุ่มตัวอย่างมาทุกชั้นภูมิ
ตัวอย่างเช่น ต้องการทราบความคิดเห็นเกี่ยวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยระบบใหม่ของนักเรียนมัธยมปลายในจังหวัดแห่งหนึ่ง ขั้นแรก ทำได้โดยการสุ่มอำเภอ ขั้นที่ 2 ทำการสุ่มโรงเรียนในอำเภอที่สุ่มได้มาเป็นตัวอย่าง และขั้นที่ 3 สุ่มนักเรียนเฉพาะโรงเรียนที่สุ่มได้เป็นตัวอย่าง
บทที่ 4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ข้อมูลและประเภทของข้อมูล
ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริง หรือข่าวสาร( Information) ต่างๆ ที่อาจจะเป็นตัวเลขหรือไม่เป็นตัวเลขก็ได้ข้อมูลที่เป็นตัวเลข เรียกว่า ข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น สมศักดิ์ มีรายได้เดือนละ 15,000 บาท, ชุมชนดงจำปามีประชาชน 350 คนส่วนข้อมูลที่ไม่เป็นตัวเลข เรียกว่า ข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น สมชายมีอาชีพเป็นตำรวจ, พฤติกรรมการเลี้ยงลูกของชาวเขา
ข้อมูลที่ใช้เพื่อการวิจัย หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือข่าวสารที่เกี่ยวกับตัวแปรหรือสิ่งที่จะนำมาเป็นหลักฐานเพื่อใช้ในการบรรยายประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาวิจัยประเภทของข้อมูล
1. ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary source) เป็นข้อมูลที่เก็บรวบรวมขึ้นใหม่จากแหล่งกำเนิดของข้อมูลโดยตรงไม่มีการเปลี่ยนรูปหรือเปลี่ยนความหมาย เช่น ข้อมูลที่ได้จากการสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกต และข้อมูลที่ได้จากการทดลองในห้องปฏิบัติการ เป็นต้น
2. ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary source) เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถเก็บรวบรวมจากแหล่งกำเนิดของข้อมูลได้โดยตรงแต่ได้จากแหล่งที่รวบรวมข้อมูลไว้แล้ว เช่น ข้อมูลสถิติต่างๆ ที่มีการบันทึกไว้แล้ว ข้อมูลจากรายงานการวิจัย บันทึกการนิเทศ เป็นต้น ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนรูปหรือมีข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงได้
ลักษณะของข้อมูล
1. ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative data) เป็นข้อมูลที่บอกเป็นตัวเลขหรือเป็นปริมาณที่มีอยู่จริงของตัวแปรแต่ละตัวที่ผู้วิจัยกำลังสนใจศึกษาอยู่ เช่น จำนวนนักศึกษา คะแนน น้ำหนัก ระยะทาง เป็นต้น
2. ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative data) เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถบอกเป็นปริมาณหรือตัวเลขได้ แต่จะบอกในลักษณะคำพูด หรือบรรยายที่แสดงคุณลักษณะที่แตกต่างของตัวแปรต่างๆ โดยพยายามแยกเป็นกลุ่มตามคุณสมบัติ เช่น อาชีพศาสนา สถานภาพ สมรส เพศ เป็นต้น
ลักษณะของข้อมูลที่ดี
1. มีความถูกต้อง แม่นยำ สามารถให้ข้อเท็จจริงที่ปราศจากความลำเอียง หรืออคติ
2. มีความเป็นปัจจุบัน ทันสมัยอยู่เสมอ
3. มีความสมบูรณ์ครบถ้วน สามารถให้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนทุกด้านตามประเด็นปัญหาของการวิจัย
4. มีความชัดเจน กะทัดรัด ไม่เยิ่นเย้อ หรือมีรายละเอียดมากจนเกินไป
5. มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้และอยู่ในขอบเขตของการวิจัย
การวัดและระดับของการวัด
การวัด (Measurement) ในทางปฏิบัติ การวัด หมายถึง กระบวนการแปรสภาพความคิดเห็น ทัศนคติ และการรับรู้ต่างๆ หรือตัวแปร (Variables) ซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรมให้เป็นข้อมูลทางสถิติเชิงปริมาณ หรือเชิงคุณภาพ (Quantitave or Qualitative data)
การวัด เริ่มต้นจากการกำหนดให้เด่นชัดว่าตัวแปรที่ต้องการวัดนั้น คืออะไร และต้องการวัดอะไรของสิ่งนั้นกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่จะใช้ในการวัดจะกำหนดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้มีการระบุให้แน่ชัดเสียก่อนว่าผู้วิจัยจะวัดอะไรบ้าง ซึ่งในการวัดนี้ต้องมีการ กำหนดคำนิยามของตัวแปรนั้น ที่สามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้(Operational definition of a variable) เช่น สมมติว่าตัวแปร ที่ต้องการวัด คือความพึงพอใจ ผู้วิจัยต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า อะไรคือความพึงพอใจ ความพึงพอใจคือ ปัจจัย วิธีการกระบวนการ หรือสิ่งเร้าที่ชักนำให้บุคคลตัดสินใจแสดงพฤติกรรมหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อตอบสนองความต้องการ
ของตนเอง
ระดับของการวัดตัวแปร
ค่าของตัวแปรที่วัดได้เรียกว่า ข้อมูล ข้อมูลที่ได้จากการวัดอาจเป็นตัวเลขหรือไม่เป็นตัวเลขก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าตัวแปรที่ทำการวัด ดังนั้น ชนิดของข้อมูลสามารถแบ่งตามมาตรการวัด (Scale of measurement) ได้ 4 ชนิด ดังนี้
1. ข้อมูลนามบัญญัติ (Nominal Data)
คือ ข้อมูลที่ได้จากการวัดโดยใช้มาตรานามบัญญัติ (Nominal Scale) เป็นการวัดที่จำแนกสิ่งต่างๆ ออกเป็นกลุ่มเป็นพวก หรือเป็นประเภท โดยกำหนดชื่อหรือตัวเลขให้แต่ละกลุ่มเพื่อแยกกลุ่มต่างๆ ออกจากกัน ดังนั้น ข้อมูลนามบัญญัติ จึงเป็นข้อมูลที่มีลักษณะจำแนกกลุ่ม หรือประเภทเท่านั้น ซึ่งตัวเลขหรือค่าต่างๆ ที่กำหนดให้จะนำมาบวก ลบ คูณ หาร หรือหาค่าเฉลี่ย ไม่ได้ ดังตัวอย่าง
จากตัวอย่างจะเห็นว่า ผู้วิจัยสามารถแบ่งคุณลักษณะของตัวแปรตามที่ต้องการศึกษาออกเป็นกลุ่มต่างๆ เพื่อให้เห็นความแตกต่างกันเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าการให้เพศหญิงมีค่าเป็น 2 ดีกว่าเพศชายหรือมากกว่าเพศชาย ซึ่งมีค่าเป็น 1 ผู้วิจัย บางคนอาจมีการกำหนดเพศหญิง เป็น 1 และเพศชาย เป็น 2 ก็ได้
นั่นคือ มาตรานามบัญญัติ เป็นเพียงการแบ่งข้อมูลเป็นกลุ่มๆ เพื่อสะดวกในการวิเคราะห์เท่านั้น โดยถือว่าหน่วยที่อยู่ต่างกลุ่มกันจะแตกต่างกัน แต่ไม่ได้เปรียบเทียบว่ากลุ่มใดดีกว่ากัน จะไม่มีการวิเคราะห์ค่าของตัวแปร เช่น เพศกำหนดให้เพศชายเป็น 1 และเพศหญิงเป็น 2 สิ่งที่ทำได้ คือ การหาความถี่ของแต่ละค่า นั่นคือ นับว่ามีเลข 1 กี่ค่า (มีเพศชายกี่คน) หรือนับว่ามีเลข 2 กี่ค่า (มีเพศหญิงกี่คน)
2. ข้อมูลเรียงลำดับ (Ordinal Data)
คือ ข้อมูลที่ได้จากการวัดโดยใช้มาตราเรียงลำดับ (Ordinal Scale) เป็นการวัดโดยกำหนดอันดับให้แก่สิ่งต่างๆ ดังนั้นข้อมูลเรียงลำดับ จึงเป็นข้อมูลที่มีลักษณะนอกจากที่จะจำแนกกลุ่มหรือประเภทแล้ว ยังสามารถเรียงอันดับได้ด้วย ข้อมูลที่ได้จาก การวัดโดยมาตราเรียงลำดับ มีคุณสมบัติสูงกว่าข้อมูลนามบัญญัติอีกขั้นหนึ่ง กล่าว คือสามารถเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มหรือ ประเภทได้ในเชิงปริมาณหรือคุณภาพก็ได้ตัวเลขที่ต่างกันนั้นบอกให้ทราบว่าสิ่งนั้นมีคุณสมบัติ- เดียว หรือ มาก-น้อย กว่าอีกสิ่ง หนึ่ง ตัวเลขที่กล่าวนี้มักอยู่ในรูปอันดับ ที่ตัวเลขนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งต่างๆ นั้น มีคุณสมบัติแตกต่างกันเป็นปริมาณ
เท่าใด เพราะช่วงความห่างของแต่ละอันดับไม่เท่ากัน ตัวเลขเหล่านี้จึงนำไปบวก ลบ คูณ หารหรือหาค่าเฉลี่ยไม่ได้ ดังตัวอย่าง
จากตัวอย่างจะเห็นว่า การตัดสินประกวดนางสาวไทยออกมาเป็นอันดับ 1, 2, 3 ถือเป็นมาตราเรียงอันดับ ใช้ข้อมูลเรียงอันดับ ซึ่งสามารถเปรียบเทียบความสวยอันดับที่ 1 กับอันดับที่ 2 ได้ว่า อันดับที่ 1 มีความสวยมากกว่าอันดับที่ 2 และสวยมากกว่า อันดับที่ 3 แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าสวยมากกว่ากันด้วยปริมาณเท่าใด เพราะช่วงความห่างของแต่ละอันดับไม่เท่ากัน ตัวเลขเหล่านี้ จึงนำไปบวก ลบ คูณ หาร หรือหาค่าเฉลี่ยไม่ได้
3. ข้อมูลอันตรภาค (Interval Data) หรือข้อมูลแบบช่วง
คือ ข้อมูลที่ได้จากการวัดโดยใช้มาตราอันตรภาค( Interval Scale) เป็นการวัดโดยการแบ่งค่าของตัวแปรที่ต้องการศึกษาออกเป็นช่วงๆ โดยแต่ละช่วงนั้น มีขนาดเท่ากัน ข้อมูลแบบนี้จึงมีลักษณะจำแนกกลุ่มเรียงลำดับความมากน้อย และช่วงของ ความแตกต่างแต่ละช่วงเท่ากัน และสามารถบอกปริมาณความแตกต่างระหว่างช่วงได้ เช่น องศา C แต่ละองศา มีความห่างเท่ากัน คือ 1 องศา C โดยอุณหภูมิ 40 องศา C สูงกว่า 20 องศา C อยู่เท่ากับ 20 องศา C แต่ข้อมูลระดับนี้มีข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนอยู่ คือ ไม่มีศูนย์จริง (Absolute Zero) มีแต่ ศูนย์เทียม หรือศูนย์สมมติ (Arbitary Zero) ตัวอย่างเช่น
จากตัวอย่างเป็นข้อมูลที่ได้จากการวัดโดยใช้มาตราอันตรภาค ได้แก่อุณหภูมิ คะแนน I.Q. คะแนนจากการสอบ เกรดเฉลี่ย เช่น นักศึกษาสอบได้คะแนนศูนย์ ไม่ได้หมายความว่านักศึกษาไม่มีความรู้ในวิชานั้นเลยแต่เพียงแค่ทำข้อสอบชุดนั้นไม่ได้ ถ้าออก ข้อสอบมากกว่านั้น หรือง่ายกว่านั้น เขาก็อาจทำได้คะแนนบ้าง ข้อมูลแบบอันตรภาคนี้สามารถใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลทาง สถิติได้ทุกเทคนิค
4. ข้อมูลอัตราส่วน (Ratio Data)
คือ ข้อมูลที่ได้จากการวัดโดยใช้มาตราอัตราส่วน (Ratio Scale) เป็นการวัดที่แบ่งช่วงตัวแปร เหมือนกับการวัดมาตราอันตรภาค แต่ต่างกันที่มาตราอัตราส่วนนี้มีศูนย์แท้ ค่าศูนย์ในอัตราส่วนนี้หมายถึงไม่มีอะไรเลย ดังนั้น ข้อมูลอัตราส่วนจึงเป็น ข้อมูลที่มีลักษณะจำแนกกลุ่ม เรียงอันดับมากน้อย ช่วงของความแตกต่างแต่ละช่วงเท่ากัน และมีศูนย์แท้ ข้อมูลประเภทนี้สามารถ เปรียบเทียบในเชิงอัตราส่วนได้ เช่น สมชาย มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือน และสมปอง มีรายได้ 10,000 บาทต่อเดือน แสดงว่า สมชาย มีรายได้เป็น5 เท่าของสมปอง ข้อมูลอัตราส่วนนี้ สามารถใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติได้ทุกเทคนิค
เครื่องมือในการวิจัย
เครื่องมือ (Tool or Instrument) คือ สิ่งที่ใช้วัดตัวแปร เพื่อให้ได้ผลการวัดที่เรียกว่าข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเพื่อให้ได้ข้อมูล หรือข้อเท็จจริงที่มีประสิทธิภาพที่นิยมใช้กันในทางสังคมศาสตร์ คือแบบสอบถาม แบบทดสอบ แบบสัมภาษณ์และแบบบันทึก ในงานวิจัย ทางบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ มักจะใช้เป็นแบบสอบถาม
1. แบบสอบถาม (Questionaire)
เป็นชุดของคำถามที่ใช้ถามข้อเท็จจริง หรือความรู้สึกนึกคิดตลอดจนความคิดเห็นต่างๆ ซึ่งส่วนมากแล้วใช้ในการสำรวจ โดยมีคำถามที่เตรียมไว้ถามเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อใช้เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และสมมติฐาน ของการวิจัย
ส่วนประกอบของแบบสอบถาม โดยทั่วไปจะประกอบไปด้วย3 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 คำชี้แจงในการตอบแบบสอบถาม ที่ระบุจุดมุ่งหมายของการถามหรือการวิจัย อธิบายลักษณะของแบบสอบถามว่ามีกี่ตอน แต่ละตอนกล่าวถึงเรื่องอะไร มีคำถามกี่ข้อ และอธิบายวิธีการตอบพร้อมตัวอย่าง
ส่วนที่ 2 ข้อมูลส่วนตัวของผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งก็คือตัวแปรอิสระที่จะศึกษานั้นเอง เช่น เพศอายุ ระดับการศึกษา เป็นต้น
ส่วนที่ 3 คำถามที่เกี่ยวกับข้อมูลที่ต้องการศึกษา เป็นความคิดเห็นหรือความสนใจหรือความต้องการในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็คือ ตัวแปรตามที่ต้องการศึกษานั้นเองที่ทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นรายละเอียดของการวิจัย
ขั้นตอนในการสร้างแบบสอบถาม
1. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องหรือหัวข้อที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา เพื่อทราบลักษณะของข้อมูลทั่ว ๆ ไป ที่นำมาใช้ในการวิจัย เช่น หัวเรื่องวิจัย"แรงจูงใจต่อการศึกษาในระดับปริญญาโทสาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ เพชรบูรณ์" ข้อมูลที่ต้องการคือ แรงจูงใจ ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลทางด้านจิตอารมณ์ ดังนั้นต้องใช้แบบสอบถามเกี่ยวกับแรงจูงใจ
2. ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นจากกลุ่มประชากรที่ทำการศึกษา เพื่อที่จะนำข้อมูลมาใช้ประกอบในการกำหนดขอบเขตเนื้อหาของแบบสอบถาม
3. พิจารณารูปแบบของแบบสอบถามว่าใช้ปลายเปิด หรือปลายปิด หรือผสมกัน
4. ร่างแบบสอบถาม โดยเขียนคำถามให้สอดคล้องกับเรื่องที่ต้องการศึกษาวิจัย และวัตถุประสงค์จำนวนคำถามที่ใช้มากน้อยแค่ไหน
5. ตรวจสอบแบบสอบถามขั้นแรก โดยหัวหน้างานหรือผู้มีประสบการณ์ด้านการทำวิจัยมาก่อน
6. นำแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบขั้นแรกมาทำการปรับปรุงเมื่อปรับปรุงเสร็จแล้วส่งให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่รู้ในวงการนั้นๆ เพื่อพิจารณาความถูกต้อง ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา และความครอบคลุมในเรื่องที่จะวัด
7. หลังจากได้รับแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญกลับคืนมาแล้ว จากนั้นทำการตรวจสอบรายละเอียด และแก้ไขถ้อยคำสำนวนของแบบสอบถาม
8. ทดลองใช้และวิเคราะห์คุณภาพของแบบสอบถาม โดยนำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะใกล้เคียง หรือเหมือนกับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเก็บข้อมูลจริงมากลุ่มหนึ่ง โดยให้มีจำนวนอย่างน้อยเท่ากับ 30 ชุดหลังจาก นั้นทำการวิเคราะห์คุณภาพของแบบสอบถาม เพื่อหาความเชื่อมั่ น วิธีการวิเคราะห์ทางสถิติที่นิยมใช้ในการหาความเชื่อมั่นของ แบบสอบถามคือวิธีสัมประสิทธิ์ แอลฟา(A lpha Coefficient) ของโครแบช (Crobach) ถ้าค่าสัมประสิทธิ์แอลฟามีค่า
มากกว่า หรือเท่ากับ 0.7 ถือว่าแบบสอบถามชุดนั้นใช้ได้
ลักษณะของแบบสอบถาม
แบบสอบถามที่นิยมใช้กันทั่วไป มี 2 รูปแบบ คือ
1. แบบสอบถามปลายปิด (Closed form)
เป็นแบบสอบถามที่กำหนดคำตอบไว้ให้เลือกตอบ มีลักษณะเหมือนข้อสอบ คือมีข้อความเป็นคำถาม และมีคำตอบที่กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ผู้ตอบเลือกตอบข้อใดข้อหนึ่งที่ตรงกับความเป็นจริงเกี่ยวกับผู้ตอบมากที่สุด จำนวนตัวเลือกที่ให้เลือก ตอบมีหลายลักษณะ อาจเป็นแบบ 2 ตัวเลือก หรือแบบให้ผู้ตอบจัดอันดับความสำคัญของคำตอบ หรือแบบ Rating Scaleหรือให้ผู้ตอบเลือกตอบได้มากกว่า1 ตัวเลือก
1. แบบสอบถามให้เลือกตอบคำตอบเดียว (Dichotomous Question) โดยเลือกตอบจากคำตอบที่กำหนดให้ 2 คำตอบ
ตัวอย่างเช่น
2. แบบสอบถามให้เลือกตอบคำตอบเดียว (Multiple Choice Questions) โดยเลือกตอบจากคำตอบที่กำหนดให้หลายคำตอบ ตัวอย่างเช่น
3. แบบสอบถามให้เลือกตอบหลายคำตอบ (Multiple Response Questions or Checklist Questions) โดยเลือกตอบจากคำตอบที่กำหนดให้หลายคำตอบ ตัวอย่างเช่น
4. แบบมาตรประมาณค่า เป็นรูปแบบของการถามสิ่งที่ใช้ประเมินค่าสิ่งที่ต้องการวัด ซึ่งไม่อาจวันออกมาเป็นตัวเลขอย่างชัดเจนได้ แต่บ่งบอกให้ทราบถึงลักษณะความเข้มของความคิดเห็น ความรู้สึก เจตคติว่ามีมากน้อยเพียงใด เช่น มาตราส่วนประมาณค่าแบบกำหนดเป็นตัวเลข (Numerical rating scale) มาตราส่วนประมาณค่าแบบจัดประเภท (Caregory scale) และมาตราส่วนประเมินค่าเป็นกราฟ (Graphic rating scale) แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะ มาตราส่วนประมาณค่าแบบกำหนดเป็นตัวเลข (Numerical rating scale) ตามแบบของ ลิเคอร์ท (Likert) โดยมากมักกำหนดให้ 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด
ตัวอย่างของแบบสอบถาม
ตัวอย่างของแบบสอบถามที่ใช้มาตราส่วนประมาณค่าแบบกำหนดเป็นตัวเลข
2. แบบสอบถามปลายเปิด (Opened form)
เป็นแบบสอบถามที่ไม่ได้กำหนดคำตอบไว้แน่นอน แต่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบ ตอบแบบสอบถามได้อย่างอิสระด้วยคำพูดของตนเอง ตัวอย่างเช่น
ข้อเสนอแนะอื่นๆ เกี่ยวกับการให้บริการของสำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
1. ด้านการบริการ ............................................................................................................................
2. ด้านสภาพแวดล้อม ......................................................................................................................
3. ด้านการบริหาร .............................................................................................................................
บทที่ 5 สถิติที่ใช้ในการวิจัย
ความหมายของสถิติ
โดยทั่วไปแล้ว สถิติมีความหมาย 2 นัยคือ สถิติที่เป็นตัวเลข และสถิติที่เป็นศาสตร์
1. สถิติที่เป็นตัวเลข หมายถึง สถิติที่ได้มาจากการเก็บรวบรวมข้อมูลในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อการตรวจสอบ เช่นจำนวนนักศึกษาที่เข้ามาใช้บริการสำนักวิทยบริการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ในแต่ละวัน หรือจำนวนนักศึกษาชั้นปีที่ 1 โปรแกรมวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์จำนวนครั้งที่นักศึกษาลงชื่อเข้าใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ในห้องบริการอินเทอร์เน็ต สำนักเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ตัวเลขหรือข้อมูลเหล่านี้คือสถิติที่ได้รวบรวมขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะเรื่อง
2. สถิติที่เป็นศาสตร์ หมายถึง สาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลการนำเสนอข้อมูลและการแปลความหมายข้อมูล ซึ่งเป็นระเบียบวิธีการทางสถิติ
ประเภทของสถิติ
John W. Best และ James V. Kahn ได้จำแนกสถิติออกเป็น 2 ประเภท คือ สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) หรือ สถิติบรรยาย และ สถิติอนุมาน (Inference Statistics) หรือสถิติเชิงทดสอบสมมติฐาน ดังรูป
สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics)
คือสถิติที่เกี่ยวกับการอธิบาย หรือบรรยายลักษณะของข้อมูลทีผู้วิจัยเก็บรวบรวมมาเป็นการวิเคราะห์ ข้อมูลเบื้องต้นและอาจจะมีการคำนวณค่าสถิติเบื้องต้นที่มีการคำนวณไม่ยุ่งยาก และไม่สามารถนำผลไปอ้างอิงหรือ พยากรณ์ค่าของกลุ่มอื่นๆได้ สถิติที่นิยมใช้ได้แก่ การแจกแจงความถี่การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง และการวัดการกระจาย
การแจกแจงความถี่ การแจกแจงความถี่ คือ การจำแนกหรือแจงนับข้อมูล หรือค่าสังเกตที่ผู้วิจัยเก็บรวบรวมได้ตามลักษณะต่างๆ ของข้อมูลนั้นๆ เพื่อง่ายต่อการนำไปใช้ หรือเป็นการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ตลอดจนสะดวกและรวดเร็วในการนำข้อมูลไป วิเคราะห์ เช่น การจำแนกผู้ตอบแบบสอบถามแบ่งตามคณะที่สังกัด ดังรูปที่ 5.1
รูปที่ 5.1 แสดงตัวอย่างของตารางแจกแจงความถี่
การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง (Central Tendency) การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลางของข้อมูลเพื่อการวิจัย เป็นวิธีการทางสถิติวิธีการหนึ่ง คำนวณหาค่าที่ใช้แทนข้อมูลทั้งหมดมาบรรยายถึงลักษณะของข้อมูลโดยไม่จำเป็นต้องนำข้อมูลที่ได้มาพิจารณาทั้งหมด ตัวแทนที่อธิบายลักษณะของข้อมูล ชุดหนึ่งๆ นั้นมีหลายชนิด ตัวแทนบางชนิดสามารถอธิบายลักษณะของข้อมูลได้อย่างหยาบๆ แต่บางชนิดสามารถอธิบายข้อมูล ได้อย่างถูกต้องถือว่าเป็นตัวแทนที่ดีของข้อมูลชุดนั้นๆ
ตัวแทนชนิดหนึ่งๆ อาจใช้อธิบายลักษณะของข้อมูลชุดหนึ่งได้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าใช้ตัวแทนชนิดนี้กับข้อมูลทุกชุดการเลือกใช้ตัวแทนชนิดใดนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลที่ได้และโดยทั่วไปแล้วไม่สามารถบอกได้ว่าตัวกลางชนิดใดดีที่สุด ค่าที่ใช้แทนตัวกลางของชุดข้อมูล มีชื่อต่างๆ กันดังนี้
มัชฌิมเลขคณิต หรือค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean)
มัธยฐาน (Median)
ฐานนิยม (Mode)
ตัวกลางเรขาคณิต (Geometric Mean)
ตัวกลางฮาร์โมนิค (Harmonic Mean)
ในงานวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ ส่วนมากใช้มัชฌิมเลขคณิต หรือค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) เท่านั้น หรือเรียกสั้นๆว่า Mean (มีน) หมายถึง การนำค่าสังเกตหรือข้อมูลทั้งหมดมาบวกกันแล้วหารด้วยจำนวนข้อมูลทั้งหมดที่เก็บรวบรวม
ข้อสังเกตในการใช้ค่าเฉลี่ยคณิต
1. คำนวณง่าย
2. ใช้ข้อมูลทุกๆ จำนวน
3. ค่าเฉลี่ยที่คำนวณได้สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลชั้นสูง เช่น การประมาณค่า และการ
ทดสอบสมมติฐาน
4. ระดับการวัดของตัวแปร ต้องอยู่ในมาตราอันตรภาคขึ้นไป เช่น คะแนนสอบ อายุ รายได้ และระดับทัศนคติที่ให้คะแนนแบบ Rating Scale
สูตรการคำนวณค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Arithmetic Mean)
1. ค่าเฉลี่ยเลขคณิตสำหรับกลุ่มประชากร แทนด้วยสัญลักษณ์ (อ่านว่า มิว) ใช้ในกรณีที่เก็บรวบรวมข้อมูลมาจากประชากรทั้งหมด
โดย A.M. คือ ค่าเฉลี่ยแบบเลขคณิตที่ต้องการ
2. ค่าเฉลี่ยเลขคณิตสำหรับกลุ่มตัวอย่าง แทนด้วยสัญลักษณ์ (อ่านว่า เอ็กซ์บาร์)
ใช้ในกรณีที่เก็บรวบรวมข้อมูลมาจากกลุ่มตัวอย่าง
โดย A.M. คือ ค่าเฉลี่ยแบบเลขคณิตที่ต้องการ
การวัดการกระจายของข้อมูล (Measure of Dispersion) การวัดการกระจายของข้อมูล เป็นการพิจารณาลักษณะของข้อมูลแต่ละชุดที่รวบรวมมา แต่ละชุดนั้นมีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด ถ้าข้อมูลมีความแตกต่างกันมากแสดงว่าข้อมูลชุดนั้นมีการกระจายมาก หรือข้อมูลชุดนั้นประกอบด้วยตัวเลข ที่มีค่ามากและน้อย หรือมีค่าต่ำและสูงปนกัน อยู่หรือมีความแตกต่างกันมาก ถ้าข้อมูลมีความแตกต่างกันน้อยก็แสดงว่าข้อมูลนั้น มีการกระจายน้อยหรือข้อมูลชุดนั้น ประกอบด้วยตัวเลขที่มีค่าใกล้เคียงกันหรือมีความแตกต่างกันน้อย ในการหาคุณลักษณะเบื้องต้นของข้อมูลต้องพิจารณาค่าเฉลี่ยและการกระจายของ
ข้อมูลประกอบควบคู่กันไป
การวัดการกระจายของข้อมูล สถิติที่ใช้ประกอบด้วย
พิสัย (Range)
พิสัยควอไทล์ (Interquartile Range)
ความแปรปรวน (Variance)
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
สัมประสิทธิ์ความแปรผัน(Coefficient of Variation)
ในงานวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ ส่วนมากใช้ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หมายถึง ค่าที่ใช้วัดความแตกต่างระหว่างค่าแต่ละค่าของข้อมูลชุดนั้นกับมัชฌิมเลขคณิต ซึ่งเป็นตัวแทนของข้อมูลทั้งหมดถ้าค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมีค่าสูงแสดงว่าข้อมูลชุดนั้นมีการกระจายมาก ในทางตรงกันข้าม ถ้าค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมีค่าน้อย แสดงว่าข้อมูลชุดนั้นมีการกระจายน้อย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็นค่าที่ใช้วัดการ กระจายได้ดีที่สุด และนิยมมากที่สุด สามารถคำนวณได้จากสูตร ดังนี้
สูตรการคำนวณค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
1. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสำหรับกลุ่มประชากร แทนด้วยสัญลักษณ์ (อ่านว่า ซิกม่า)
2. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสำหรับกลุ่มตัวอย่าง แทนด้วยสัญลักษณ์ (อ่านว่า เอส)
สถิติอนุมาน (Inference Statistics) หรือสถิติเชิงทดสอบสมมติฐาน
คือ สถิติที่เกี่ยวกับการนำข้อมูลที่ได้จากตัวอย่าง (Sample) เป็นการศึกษาจากข้อมูลเพียงบางกลุ่มหรือบางส่วนของประชากร แล้วนำข้อเท็จจริงที่ได้นี้ไปอธิบายหรือสรุปผลลักษณะของประชากร(Population) ทั้งกลุ่ม การสรุปผลดังกล่าวใช้หลักของความน่าจะเป็น ทำการทดสอบสมมติฐานตามที่ผู้วิจัยกำหนดไว้ สถิติอนุมานหรือการอนุมานทางสถิติจะถูกต้องเพียงใดขึ้นอยู่กับวิธีการเลือกข้อมูล ซึ่งเรียกว่า "การสุ่มตัวอย่าง (Random Sampling)" ผู้วิจัยสามารถสรุปผลลักษณะของประชากรได้ถูกต้อง ถ้าข้อมูลตัวอย่างที่ได้มาบางส่วนนี้มีวิธีการสุ่มที่ดี คือต้องได้ข้อมูลที่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากร ดังนั้น การเก็บ
รวบรวม ข้อมูลจากตัวอย่าง ผู้วิจัยควรจะได้ศึกษาถึงทฤษฎีการสุ่มตัวอย่าง( Sampling Theory) เพื่อได้ตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของประชากร และนำไปสู่การสรุปผลและอธิบายลักษณะของประชากรได้ถูกต้อง
สถิติที่นิยมใช้ในการทดสอบสมมติฐานได้แก่
1. การทดสอบค่าเฉลี่ยสำหรับประชากร 1 กลุ่ม
2. การทดสอบค่าเฉลี่ยสำหรับประชากร 2 กลุ่ม ที่เป็นอิสระต่อกัน
3. การทดสอบค่าเฉลี่ยสำหรับประชากร 2 กลุ่ม ที่มีความสัมพันธ์กัน
4. การวิเคราะห์ความแปรปรวน
ในงานวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ ส่วนมากใช้สถิติที่ทดสอบแค่ 2 ตัว คือ T-test และ F-test ผู้วิจัยจะเลือกใช้สถิติตัวใดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ศึกษาและสมมติฐานที่ต้องการพิสูจน์
การทดสอบค่าเฉลี่ย 1 กลุ่ม
เป็นการศึกษาโดยการตรวจสอบว่าคุณลักษณะใดคุณลักษณะหนึ่งของข้อมูลเป็นไปตามที่คาดหวังหรือกำหนดไว้หรือไม่ โดยพิจารณาจากค่าเฉลี่ย จะเรียกว่าเป็นการ ทดสอบสมมติฐานของค่าเฉลี่ย สำหรับ 1 คุณลักษณะของ 1 กลุ่มข้อมูล เช่น ต้องการทดสอบว่าอายุเฉลี่ยของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นไปตามอายุที่กำหนดหรือคาดคะเน (สมมติฐาน) ไว้หรือไม่ หรือต้องการทดสอบระดับความพึงพอใจเฉลี่ยของผู้ใช้บทเรียนออนไลน์ เป็นต้น อายุหรือระดับความพึงพอใจ ก็คือคุณลักษณะหนึ่งของข้อมูล ซึ่งถือว่าเป็นตัวแปรหนึ่งตัวแป การทดสอบแบบนี้จังจัดอยู่ในประเภทของการวิเคราะห์ข้อมูลแบบ 1 ตัวแปร (Univariate
data analysis)
วิธีการทดสอบ
การทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับค่าเฉลี่ยสำหรับ 1 กลุ่มตัวอย่าง เป็นการทดสอบว่าค่าเฉลี่ยของคุณลักษณะใดลักษณะหนึ่งของข้อมูลทั้งหมด หรือที่เรียกว่า ข้อมูลประชากร ซึ่งแทนด้วย จะมีค่าแตกต่างจากค่าเฉลี่ยที่ผู้วิจัยคาดเดา (ตั้งสมมติฐาน) ไว้หรือไม่ ซึ่งค่าเฉลี่ยที่ผู้วิจัยคาดเดานั้นควรจะมีเหตุผลสนับสนุนว่าทำไมจึงคาดเดาเช่นนั้นเช่น อาจจะมาจากข้อมูลในอดีต ที่เคยมีผู้ทำการวิจัยไว้หรืออาจจะสอบถามจากผู้มีประสบการณ์ หรือจากข้อมูลพื้นฐานที่เก็บรวบรวมได้ค่าเฉลี่ยที่คาดเดาไว้นี้จะต้องกำหนดเป็นค่าคงที่ที่เป็นตัวเลข
การทดสอบสมมติฐานของค่าเฉลี่ยนั้น ข้อมูลที่นำมาทดสอบจะต้องเป็นข้อมูลที่สามารถนำมาคำนวณได้โดยมีการวัดอยู่ในระดับช่วงหรืออัตราส่วน เช่น อายุ รายได้ ฯลฯ แต่ข้อมูลที่มีการวัดระดับเรียงอันดับบางชนิดก็สามารถนำมาทดสอบได้ เช่น ระดับความพึงพอใจ ระดับความคิดเห็น ฯลฯ นอกจากนี้ข้อมูลจะต้องมีการแจกแจงแบบปกติหรือใกล้เคียงแบบปกติจึงจะสามารถ ใช้วิธีนี้ทดสอบได้ ซึ่งตามทฤษฎีทางสถิติ (Central Limit Theorem) ถ้าเก็บข้อมูลเป็นจำนวนมากๆ (มากกว่า 30 ตัวอย่าง) จะทำให้ ข้อมูลตัวอย่างมีการแจกแจงใกล้เคียงแบบปกติ การทดสอบอาจจะมีทั้งการทดสอบแบบสองทาง และการ
ทดสอบแบบทางเดียว โดยจะต้องกำหนดในรูปของสมมติฐานทางสถิติ ที่ประกอบด้วยสมมติฐานหลัก (Null Hypothesis) และสมมติฐานรอง (Alternative Hypothesis) ซึ่งอาจจะเขียนในรูปของข้อความบรรยาย หรือใช้สัญลักษณ์ทางสถิติดังตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่าง สมมติฐานสำหรับข้อมูลที่คำนวณได้และมีการวัดระดับช่วงหรืออัตราส่วน
แบบสองทาง
ตัวอย่าง สมมติฐานสำหรับข้อมูลที่คำนวณได้และมีการวัดระดับเรียงอันดับ
เช่น ต้องการทดสอบความพึงพอใจในการใช้บทเรียนออนไลน์ซึ่งมีตัวเลือกเป็นค่าต่างๆ ดังนี้
5 พอใจมากที่สุด 4 พอใจมาก 3 พอใจปานกลาง 2 พอใจน้อย 1 พอใจน้อยที่สุด และได้กำหนดไว้ว่าค่าระดับความพึงพอใจเฉลี่ยที่คำนวณได้จะมีความหมายดังนี้
1.00 - 1.50 ถือว่า ความพึงพอใจอยู่ในระดับพอใจน้อยที่สุด
1.51 - 2.50 ถือว่า ความพึงพอใจอยู่ในระดับพอใจน้อย
2.51 - 3.50 ถือว่า ความพึงพอใจอยู่ในระดับพอใจปานกลาง
3.51 - 4.50 ถือว่า ความพึงพอใจอยู่ในระดับพอใจมาก
4.51 - 5.00 ถือว่า ความพึงพอใจอยู่ในระดับพอใจมากที